นับเป็นการลงมติครั้งที่4 ที่ผ่านการรับรองในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ นับตั้งแต่ปี 2550
โดย 111 รัฐลงคะแนนเสียงสนับสนุนมติดังกล่าว มีคะแนนเห็นชอบเพิ่มขึ้น 2เสียงจากการลงมติครั้งล่าสุดเมื่อปี 2553 รัฐที่ลงคะแนนสนับสนุนเป็นครั้งแรกได้แก่ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ชาด เซเชลล์ เซียร่าลีโอน ซูดานใต้และตูนีเซีย ยังมีสัญญาณในเชิงบวกจากปาปัวนิวกินีและอินโดนีเซียที่เปลี่ยนจากการลงคะแนนคัดค้านมาเป็นงดออกเสียงเป็นที่น่าเสียดายว่า บาห์เรน โดมินิกัน และโอมานเปลี่ยนจากการงดออกเสียงมาลงคะแนนคัดค้านมติ ในขณะที่ มัลดีฟส์ นามิเบียและศรีลังกาเปลี่ยนจากการลงคะแนนสนับสนุนมาเป็นการงดออกเสียง
“การลงมติในวันนี้ช่วยตอกย้ำให้เห็นถึงกระแสที่ชัดเจนในระดับโลกที่จะผละจากการใช้โทษประหารชีวิตปัจจุบัน 140 ประเทศทั่วโลกยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติ”โจเซ่ หลุยส์ ดิแอซ ตัวแทนแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลประจำองค์การสหประชาชาติที่กรุงนิวยอร์กกล่าว
“ถึงแม้มติของที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายแต่ก็เป็นมติที่แสดงให้เห็นถึงเจตนารมย์ของประชาคมระหว่างประเทศและเป็นการส่งสัญญานที่ชัดเจนจากองค์กรระดับโลก”
“โทษประหารชีวิตเป็นการลงโทษที่ทารุณโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมอย่างที่สุดแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลคัดค้านการใช้โทษประหารทุกกรณี”
ผลการลงคะแนนรวมมีเสียงสนับสนุน 111 เสียง คัดค้าน 41 เสียง และงดออกเสียง 34 เสียง
สำหรับรัฐบาลไทยลงคะแนนงดออกเสียงต่อมติการพักใช้โทษประหารชีวิตดังกล่าวนับเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เปลี่ยนจากการลงคะแนนคัดค้านมาเป็นงดออกเสียงครั้งแรกเมื่อปี2553***