ปรากฏการณ์หนึ่งที่เห็นได้จากการชุมนุมซึ่งมีประชาชนจำนวนไม่น้อยออกมาร่วมคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม คือการเข้ามามีส่วนร่วมในการชุมนุมของเหล่าคนดังในวงการบันเทิงรวมถึงใช้พื้นที่บนโลกออนไลน์แสดงจุดยืนในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
ร่วมกันร้องเพลง ‘รักเธอประเทศไทย’ แสดงจุดยืนคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยมีต้นเสียงเป็นเหล่าศิลปิน ดาราและคนดังในวงการบันเทิง หนึ่งในกิจกรรม “ปิดซอย จับตานิรโทษกรรมสุดซอย” ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ไม่บ่อยนักที่จะเห็นภาพของคนบันเทิง มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง หากตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาหลัง ร่าง พรบ.นิรโทษกรรมได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ก็มีคนในวงการบันเทิงจำนวนไม่น้อยเปิดตัว ออกมาร่วมเดินขบวนสะท้อนความไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาล
ส่วน "ไปรมา รัชตะ" นักแสดง บอกว่า ได้ศึกษา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แล้วรู้สึกว่า เหมารวมหมด สนับสนุนคอร์รัปชั่น ซึ่งไม่ถูกต้อง ทำให้คิดว่า ต่อไปจะสอนลูกหลานยังไงว่าความถูกต้องคืออะไร ในเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทำแบบนี้
ที่ผ่านมาศิลปินและคนบันเทิงมักหลีกเลี่ยงการแสดงออกทางการเมือง เพราะหลายครั้งส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานในวงการ รวมถึงจุดยืนในฐานะคนของประชาชน ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะใช้พลังดาราไปขับเคลื่อนประเด็นสังคมอย่างสิ่งแวดล้อมและงานการกุศลมากกว่า หากความไม่พอใจในร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ซึ่งมีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วย และมีขั้นตอนการผ่านสภาอย่างไม่ปกติก็ทำให้คนในวงการบันเทิงจำนวนไม่น้อย เลือกจะถอดหัวโขนออกมาร่วมเคลื่อนไหวคัดค้าน โดยไม่เกรงผลกระทบ เพราะเห็นว่านี่คือสิทธิและเสรีภาพภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนทุกคนพึงมี
ด้าน "เพชร มาร์" โปรดิวเซอร์และนักดนตรี บอกว่า สำหรับคนที่มีชื่อเสียงก็เป็นคนทั้งนั้น เป็นประชาชนชาวไทย รักประเทศเขา รักสิทธิ และหน้าที่ของเขา ที่ออกมาก็ดี หลายคนก็แสดงจุดยืนมานานแล้วว่า มีจุดยืนทางการเมืองยังไง ครั้งนี้รุนแรงมาก ถึงออกมาเยอะมากจริงๆ
"เมื่อความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย การต่อสู้จึงกลายเป็นหน้าที่" คือวาทะของ โทมัส เจฟเฟอสัน รัฐบุรุษของสหรัฐอเมริกาที่ ไก่ - สมพล ปิยะพงศ์สิริ นักจัดรายการวิทยุและดีเจชื่อดัง โพสต์ผ่านหน้าอินสตราแกรมของตัวเอง เช่นเดียวกับคนดังอีกหลายคนที่แม้ไม่ได้ออกไปมีส่วนร่วมประท้วงบนถนน แต่ก็ใช้พื้นที่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ในการแสดงจุดยืน และมีคนติดตามให้ความสนใจไม่น้อย ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากทำให้เห็นพลังของคนในวงการบันเทิงต่อประเด็นทางการเมือง ยังทำเห็นว่าทุกๆ คนมีสิทธิ์ในการแสดงจุดยืนเท่าเทียมกันในฐานะประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย