นายกฯขอทุกฝ่ายเคารพผลประชามติ ยันเลือกตั้งปลายปี 60

การเมือง
12 ส.ค. 59
20:51
139
Logo Thai PBS
นายกฯขอทุกฝ่ายเคารพผลประชามติ ยันเลือกตั้งปลายปี 60
นายกฯขอทุกฝ่ายเคารพผลประชามติขอร่วมมือเดินหน้าประเทศเดินตามโรดแมป คาดนำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ ปลายเดือน พ.ย. ยืนยันเลือกตั้งมั่วไปปลายปี 60

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2559 เวลา 20.15 น. ดังนี้

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

นับเป็นระยะเวลายาวนาน เกือบ 7 ทศวรรษ ที่ภาพความทรงจำ ที่คุ้นเคยของปวงชนชาวไทย ก็คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้โดยเสด็จพระราชดำเนิน เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ห่างไกลและถิ่นทุรกันดารทั่วทุกภูมิภาคของประเทศอันเป็นที่มาของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำรินานัปการ เพื่อความอยู่ดีกินดีของพสกนิกรทุกด้าน พระราชดำริสำคัญของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ล้วนสนองพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อยกฐานะความเป็นอยู่ของราษฎรให้ดีขึ้นอาทิ ทรงริเริ่มโครงการให้ราษฎรโดยเฉพาะชาวนาในท้องถิ่นชนบทมีอาชีพเสริมโดยใช้เวลาว่างจากการทำนาทำไร่ มาทำงาน “ศิลปาชีพ” เพื่อช่วยรักษางานช่างศิลป์ไว้ในวิถีชีวิตชาวบ้านและสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น


อันเป็นจุดเริ่มต้นของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสินค้า “OTOP ประชารัฐ” ในปัจจุบัน ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถเข้าเยี่ยมชม ผลงานประดิษฐ์จากฝีมือลูกหลานชาวไร่ชาวนา ที่นอกจากจะเป็นการสืบสานอนุรักษ์ศิลปะของแผ่นดินให้คงอยู่แล้ว ยังสะท้อนถึงความรัก ความเมตตาที่สถาบันพระมหากษัตริย์มีต่อพสกนิกรชาวไทย ผ่านงานศิลป์แขนงต่างๆ ได้ที่งาน “ศิลป์แผ่นดิน” และ “เรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์” ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
อีกทั้งด้วยพระอัจฉริยภาพ ที่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ ในการออกแบบฉลองพระองค์ “ชุดประจำชาติ” จำนวน 7 แบบ เมื่อครั้งโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน ไปเจริญสัมพันธไมตรี กับนานาประเทศ เมื่อ 50 กว่าปี ที่ผ่านมา ปัจจุบันรู้จักกันในนาม “ชุดไทยพระราชนิยม”


นอกจากนี้ ทรงมีพระราชวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ในการพลิกฟื้นศิลปะชั้นสูงของชาติ โดยทรงส่งเสริม ทั้งงานด้านศิลปะ วรรณศิลป์ และนาฏศิลป์ของไทย อาทิ “โขนพระราชทาน” ให้คืนกลับมาสู่ความนิยมและเป็นที่ภาคภูมิใจของคนไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถที่ประยุกต์มาจากชุดไทยพระราชนิยมต้นแบบ และเครื่องโขนพระราชทานดังกล่าว พี่น้องประชาชนสามารถเข้าชมได้ ณ พิพิธภัณฑ์ผ้าในพระบรมมหาราชวัง


ดังนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นอกจากจะทรงเป็น “แม่ของแผ่นดิน” แล้ว พระองค์ยังทรงเป็น ประดุจศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกปักรักษางานศิลปะของชาติ สมความหมายแห่งพระราชสมัญญานาม “อัคราภิรักษศิลปิน” เนื่องในมหามงคลทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา 12 สิงหาคม 2559 นี้ ผมขอเชิญชวนปวงพสกนิกรร่วมกันน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน


ช่วงเดือนสิงหาคมนี้ มีทัพนักกีฬาไทย 50 กว่าคน เข้าร่วม การแข่งขันกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ “โอลิมปิก 2016” ณ ประเทบราซิล ปัจจุบัน สามารถคว้าเหรียญรางวัล นำความสุขมาสู่ปวงชนชาวไทยแล้ว หลายรายการ ในกีฬายกน้ำหนัก


นับตั้งแต่ เหรียญทอง เหรียญแรก จาก“น้องแนน” โสภิตา ธนสาร ตามมาด้วยเหรียญทองและเหรียญเงินของ“น้องฝ้าย" สุกัญญา ศรีสุราช และ “น้องแต้ว” พิมศิริ ศิริแก้ว ในรายการเดียวกัน และ“ดุ่ย” สินธุ์เพชร กรวยทอง ที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน ได้เหรียญทองแดงมาครอง แต่ก็ต้องสูญเสียคุณยาย “สุบิน” ไป ผมก็ขอให้เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นแรงพลักดัน เป็นกำลังใจให้ “ดุ่ย – สินธุ์เพชร” มุ่งมั่น ฝึกฝนตนเอง ให้ประสบความสำเร็จสูงสุดต่อไป สมดังที่คุณยายสุบินตั้งความหวังไว้


สำหรับนักกีฬาประเภทอื่น ที่กำลังจะทยอยลงสู่สนามการแข่งขัน ผมขอเชิญพี่น้องชาวไทย“ร่วมแรงใจ เชียร์ทัพนักกีฬาไทย คว้าชัยในโอลิมปิก” โดยขอให้นักกีฬาทุกคน ซึ่งเป็นตัวแทนคนไทยทั้งประเทศ ได้แสดงออกถึง “น้ำใจนักกีฬา” และแสดงออกถึง “ความเป็นไทย” ที่งดงาม สู่สายตาชาวโลก


ขอให้นักกีฬาทุกคน ได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ทำหน้าที่ของตนให้เต็มศักยภาพ มีสมาธิ มีสติ แล้วใช้ปัญญาเป็นเครื่องนำทางสู่ความสำเร็จ ผมเชื่อว่าทุกหัวใจของคนไทย จะเป็นกำลังใจให้กับท่าน ไม่ว่าท่านอยู่อยู่ที่ใดในโลก ท่านไม่ได้ไปคนเดียว แต่จะมีทั้งกองเชียร์ติดตามเป็นกำลังใจท่าน ทั้งขอบสนาม ทั้งหน้าจอทีวี


คืนนี้ หลังจบรายการนี้ ประมาณ 3 ทุ่ม ผมขอเชิญชวนร่วมเป็นกำลังใจกับ “น้องณี” สุธิยา จิงเฉลิมมิตร ในการแข่งขัน “ยิงปืนเป้าบิน” ประเภทสกีต ซึ่งเป็นอีกความหวังหนึ่งของเรา ด้วยนะครับ


พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ การที่ชาติไทยของเรานั้น จะสามารถดำรงความเป็นชาติ และมีขีดสามารถในการแข่งขัน ทัดเทียมนานาอารยประเทศ บนโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงได้นั้น เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ “โครงสร้างพื้นฐานของชาติ” ที่หลายคนมักจะเข้าใจและคุ้นเคยกับโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น “รูปธรรม” อันได้แก่
โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ทางถนน ทางราง ทางน้ำ ทางทะเล และทางอากาศ หรือโครงสร้างด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ดิจิทัล และการสื่อสาร ด้านไฟฟ้า ด้านประปา และด้านพลังงานทั้งหมดจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบ และควรบรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ของชาติ ระยะยาว เนื่องจากเป็นการลงทุนขนาดใหญ่

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอาจจะไม่ได้ถูกให้ความสำคัญมากนัก หรือถูกนำไปเป็นเรื่องของทางการเมือง ทางธุรกิจ เป็นนโยบายพรรคในการหาเสียง เช่น หากว่าประชาชนพื้นที่ใดเลือกพรรคของตน เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว โครงการพัฒนาต่างๆ ก็จะไปถึงพื้นที่เหล่านั้นก่อน


ซึ่งขัดแย้งกับหลักธรรมภิบาล ในการบริหารบ้านเมือง สำหรับตัวผมเองเห็นว่ารัฐบาลควรจะบริหารงานเพื่อประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่เพื่อฐานเสียง สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้อีกต่อไป ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่


และตลอด 2 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้ดำเนินการให้เป็นไปตามครรลองที่เหมาะสม เห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติโดยส่วนรวม โดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แอบแฝง เช่น ผลักดันโครงการทางหลวงพิเศษ หมายเลข 6 บางปะอิน – นครราชสีมา ที่ค้างคามากว่า 20 ปี


หรือรถไฟฟ้ามหานคร สายสีม่วง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อว่า “ฉลองรัชธรรม” ความหมายว่า เฉลิมฉลองพระราชาที่ปกครองโดยธรรม และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดการเดินรถฯ อย่างเป็นทางการ เมื่อวันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา และอีกหลายโครงการที่เกิดจากการบริหารราชการแบบตรงไปตรงมาของรัฐบาลนี้


สำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น “นามธรรม” ที่ผมเห็นว่ามีความสำคัญอย่างมาก หลายคนมักมองข้าม ก็ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานทาง “จิตใจ” ที่ต้องหลอมรวมกันใน “ความเป็นคน” ไปจนถึง “ความเป็นชาติ” อาทิ ภาษา การศึกษา ศิลปะ หัตถกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นต้น
อันเป็นที่มาของความผูกพัน ความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ เป็นพลังอำนาจของชาติ ที่แม้มองไม่เห็น แต่มีพลัง คล้ายอากาศที่มองไม่เห็น แต่เมื่อมีการรวมตัวกันและเคลื่อนไหว ก็จะเกิดเป็นพายุอันทรงพลัง หากนำไปใช้ใน ทางที่ถูก เช่น พลังประชารัฐ และพลังในการปฏิรูปต่างๆ ก็จะเกิดคุณประโยชน์แก่ชุมชน สังคม ตลอดจนประเทศชาติโดยรวม หากชี้นำไปใช้ในทางที่ผิด ก็จะเกิดผลในทางตรงกันข้าม เหมือนดังเช่น ก่อน 22 พ.ค. 57 ที่ผ่านมา


นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นนามธรรม จะรวมไปถึงระบบราชการ สวัสดิการ การให้บริการภาครัฐ ที่ต้องสามารถลดความเหลื่อมล้ำ ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยรวมแล้ว ก็คือ การบริหารราชการอย่างมีธรรมาภิบาลนั่นเองรัฐบาลนี้ ให้ความสำคัญอย่างมาก


ตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมานั้นเราได้สร้างบรรยากาศและวางรากฐาน ด้วยปลูกฝังจิตสำนึก ผ่านกลไก “บวร” บ้าน-วัด-โรงเรียน และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และโครงการ “ประชารัฐ” ต่างๆ อันเป็นนโยบายของรัฐบาลเอง โดยไม่ปล่อยให้ “กระแสทุนนิยม บริโภคนิยม วัตถุนิยม” เข้าครอบงำ กัดกร่อน จิตใจของสังคมไทย ให้มีแต่ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เพราะวันนี้ ประเทศ ชาติต้องการความเสียสละ การเห็นแก่ประเทศชาติ ผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ดังนั้น การเสริมสร้างความ “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ของชาติ เราจำเป็นต้องคำนึงถึงโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม อย่างสมดุล


มีภารกิจ ความท้าทายของชาติ และของโลกในอนาคต ยังมีให้พวกเราทำอีกมาก ผมจึงขอความร่วมมือ สามัคคี ปรองดอง ของคนทั้งชาติ ในการเดินหน้าประเทศ ในการปฏิรูปประเทศต่อไปนะครับ


ตัวอย่างที่ดี ก็คือ วันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็น “วันออกเสียงประชามติ” เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งผมอยากจะเรียกว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฯ ฉบับประชาชน” เนื่องจาก “เสียงส่วนใหญ่” ให้การยอมรับ ทั้งรัฐธรรรมนูญและประเด็นคำถามพ่วง โดยมีพี่น้องประชาชน ได้ออกมาแสดง “พลังอันบริสุทธิ์” ด้วยการไปใช้สิทธิ์ในครั้งนี้ เกือบร้อยละ 60 ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียง


ผมเห็นว่า “ความรักชาติและความสามัคคีของคนในชาติ” ได้กลับคืนสู่สังคมไทยแล้ว อย่างค่อยเป็นค่อยไป และนับเป็นความตื่นตัวทางการเมืองของ “เจ้าของอำนาจ” อย่างน่าชื่นชม นอกจากนี้ ผมคิดว่า “เสียงบริสุทธิ์” ที่ปราศจากการชี้นำ หรืออิทธิผลจากทางการเมือง ย่อมสะท้อนถึงความต้องการ “ที่แท้จริง” ของประชาชน ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า การปฏิรูปประเทศเพื่ออนาคตของลูกหลานเราเป็นสิ่งจำเป็น


ดังนั้น ผมขอให้ทุกฝ่ายเคารพการตัดสินใจของประชาชน และขอความร่วมมือกันเดินหน้าประเทศต่อไป อย่างไรก็ตาม “เสียงส่วนน้อย” ก็ยังเป็นเสียงที่มีคุณค่า ตามหลักประชาธิปไตย ที่จะต้องได้รับการรับฟังแล้วนำมาพิจารณา เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม ได้อย่างปกติสุขครับ


ทิศทางพัฒนาประเทศ บริหารประเทศนับจากนี้ไป จะเป็นไปตาม Roadmap ของเรา ที่ คสช. ได้กำหนดไว้ โดย 3 เดือนจากนี้ไป คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ จะต้องแก้ไขเพิ่มเติมในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญฯ ให้สอดคล้องกับประเด็นคำถามพ่วง และความเห็นชอบจากประชาชน


จากนั้น จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่ผม ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะได้นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อทรงพิจารณาและลงพระปรมาภิไธยต่อไป โดยจะมีวันสำคัญที่จะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ชาติไทย อีก 2 วัน ได้แก่


(1) วันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่ แก่ประชาชนชาวไทย ประมาณเดือน พ.ย.59 และ


(2) วันเลือกตั้งทั่วไปช่วงปลายปี 60 ผมขอให้เราทุกคน ได้ลบเลือนอดีตที่เจ็บปวดและล้มเหลว ออกจากใจ และเก็บไว้เป็นบทเรียน ย้ำเตือนใจ สำหรับการก้าวไปสู่อนาคต ที่เริ่มชัดเจน สัมผัสได้ ที่รอเราอยู่ พวกเราจะต้องไขว่คว้าโอกาสเหล่านั้น จะได้มาก น้อย เพียงใด ขึ้นอยู่กับความสามัคคีของคนในชาติ

ที่กล่าวมานั้น ก็คือความชัดเจนและเชื่อถือได้ ที่รัฐบาล และ คสช. มีให้กับประชาชนชาวไทยเสมอมา นับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาควบคุมสถานการณ์ สำหรับเพื่อนบ้าน พันธมิตร และประชาคมโลก ที่แสดงความเป็นห่วง เฝ้าติดตามสถานการณ์ หรือให้กำลังใจกับประเทศไทย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น


ผมได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินหน้าประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจ ถึงเหตุผล และความต้องการของประชาชนตามผลประชามติ ในเส้นทางสู่การเลือกตั้ง และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ซึ่งเป็นแผนระยะสั้น ที่จะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นแผนระยะยาว เพื่อให้เกิดความร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอันดี รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน ทั้งภายในและนอกประเทศด้วย


เหลือเวลาอีก 1 ปีเศษ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป และไปจนถึงการส่งมอบภาระหน้าที่ให้กับรัฐบาลใหม่ ผม และรัฐบาล และ คสช. ยังคงต้องการความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกันของคนในชาติ เหมือนที่เคยได้รับ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา


ทั้งนี้ในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงต่างๆ นั้น ต้องการความเข้าใจและปรับตัวเข้าหากัน พูดจากันด้วยความจริงใจ ไว้เนื้อเชื่อใน ลดความหวาดระแวง ผมขอให้เชื่อมั่นและไว้วางใจว่า “รัฐบาลนี้จะเป็นรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ” ที่มุ่งมั่นรักษาความมั่นคง เพื่อพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน เราจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้บังเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน


สุดท้ายนี้ เนื่องจากวันนี้เป็น “วันแม่แห่งชาติ” ผมขอให้ทุกครอบครัวคนไทย ได้แสวงหาความสุขพร้อมหน้ากัน พ่อ-แม่-ลูก ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หากต้องการของขวัญวันแม่สักชิ้น ผมขอแนะนำ ซื้อหาสินค้า “OTOP ประชารัฐ”โดยชาวกรุงเทพฯ หาซื้อได้ที่งาน “ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ประชารัฐ ก้าวไกล ด้วยพระบารมี” ณ เมืองทองธานี

สำหรับผู้ที่เดินทางไปต่างจังหวัด ก็แวะซื้อได้ที่ร้านค้าประชารัฐสุขใจ ในปั๊ม ปตท. หรือร้านค้าที่ร่วมรายการได้ ทั่วประเทศ ทั้งนี้ จะเป็นโครงการ “ช็อปช่วยชุมชน” ของรัฐบาลด้วย นอกจากจะเป็นการสนับสนุนสินค้าไทยและส่งเสริมศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านแล้ว ท่านยังสามารถนำใบเสร็จมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้อีกด้วย นะครับ

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

-
ข่าวที่เกี่ยวข้อง