วันนี้ (28 ต.ค.2562) วีรวุฒิ กตัญญกุล นายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร ระบุว่า จากการหารือกับสมาชิกส่วนใหญ่ เห็นว่ามติคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่มีการแบนอย่างกะทันหัน จะส่งผลกระทบทั้งผู้ประกอบการที่ยังมีภาระสต็อกที่เหลือ และเกษตรกรที่ยังไม่มีสารทดแทน โดย 3 สมาคมผู้ประกอบการสารเคมีจะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ทบทวนมติดังกล่าว

พรุ่งนี้จะประชุมกับอีก 2 สมาคม เพื่อหารือเกี่ยวกับการยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้ทบทวนมติแบน 3 สารเคมี เนื่องจากการลงมติไม่ชอบธรรม และกรรมการวัตถุอันตรายถูกแทรกแซง
ขณะที่ผู้ประกอบการบางคน ระบุว่า ขอให้รัฐขยายเวลาการแบนสารออกไปอีก 6 เดือน เพราะขณะนี้ยังไม่มีสารทดแทนใดที่มีประสิทธิภาพเท่าเดิม
เราจะไปผลักภาระให้เกษตรกรทำไม ผมจะยอมรับมติแบน ถ้ามีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มายืนยันว่า 3 สารนี้ เป็นพิษเป็นภัย เป็นโรคมะเร็ง เราจะเลิกและแจ้งเกษตรกรทันทีว่าอย่าใช้ แต่สารที่จะเอามาทดแทนนอกจากแพง ประสิทธิภาพสู้ไม่ได้แล้ว ความเป็นพิษยังสูงกว่าไกลโฟเซตอีก

ผู้ประกอบการบางคน ระบุว่า ระยะเวลาที่เหลือเพียง 1 เดือน ถือว่าสั้นเกินไป ที่ผ่านมาการแบนสารในอดีตจะมีเวลาให้ปรับตัวอย่างน้อย 1 ปี พร้อมยืนยันว่า หากไม่มีไกลโฟเซต กับพาราควอต ส่งผลกระทบต่อระบบพืชเศรษฐกิจที่ส่งออกทั้งหมด ทั้งอ้อย มัน ข้าวโพด ปาล์ม ยาง เนื่องจากเกษตรกรจะพบปัญหาแรงงาน ค่าใช้จ่าย และยังไม่มีสารมาทดแทน
ส่วนสต็อกสารเคมีที่มีอยู่ประมาณ 30,000 ตัน เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่า เอกชนมีการนำเข้าตามโควต้าถูกต้องตามกฎหมาย และลดปริมาณการนำเข้าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการแบนอย่างกะทันหันทำให้เอกชนไม่สามารถระบายสินค้าได้ทัน

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้ประกอบการสารเคมีอยู่ใน 3 สมาคม คือ สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร สมาคมอารักขาพืชไทย และสมาคมการค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรไทย จำนวน 600 บริษัท ขณะที่ตัวแทนจำหน่ายเคมีเกษตรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร มีประมาณ 25,000 ราย