วันนี้ (17 พ.ย.2562) ในการลงนามข้อตกลง หรือ เอ็มโอยู ในกลุ่มสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์ รวมถึงสินค้าอาหาร ระหว่างนักธุรกิจไทยและตุรกี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตุรกีเป็นตลาดที่ไทยเห็นว่ามีศักยภาพ นอกจากยางพาราแล้ว รัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญกับการส่งออกทั้งผลิตภัณฑ์การเกษตรอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าว มันสำปะหลัง และอาหาร
ขณะเดียวกัน ไทยและตุรกีกำลังมีการเจรจาเอฟทีเอ โดยตั้งเป้าให้การเจรจาเสร็จสิ้นในกลางปีหน้า แม้ว่าไทยและตุรกีจะมีศักยภาพในอุตสาหกรรมเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ ยางพารา สิ่งทอ อัญมณี การเกษตร และอาหาร แต่เชื่อว่าเอฟทีเอนี้ จะส่งผลให้การค้าทั้งไทยและตุรกีเกื้อกูลกันมากกว่าจะแข่งขันกันเอง
ทั้งนี้ คาดว่าจากผลของเอฟทีเอ ไทย-ตุรกี จะทำให้การค้าระหว่างไทย-ตุรกี ในปี 2565 มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 60,000 ล้านบาท
สำหรับตุรกี ถือเป็นตลาดขนาดใหญ่มีประชากรมากถึง 80 ล้านคน มีนักท่องเที่ยวมาเยือนในแต่ละปีมากกว่า 40 ล้านคน ที่สำคัญตุรกี ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ทางการค้า เป็นประตูสู่ 3 ทวีป คือเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา สามารถเชื่อมต่อการค้าได้ทั้งทางด้านเหนือ-ใต้-ตะวันตก-ตะวันออก
แท็กที่เกี่ยวข้อง: