โควิดไม่กระทบอุตสาหกรรมอวกาศ ทั่วโลกส่งดาวเทียมโคจร 2,133 ดวง

Logo Thai PBS
โควิดไม่กระทบอุตสาหกรรมอวกาศ ทั่วโลกส่งดาวเทียมโคจร 2,133 ดวง
"จิสด้า" เผยอุตสาหกรรมอวกาศไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เพียงแค่ 1 ปีกว่า ทั่วโลกส่งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศรวม 2,133 ดวง หากนับเฉพาะปีนี้อยู่ที่ 850 ดวง

วันนี้ (30 มิ.ย.2564) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเรื่อง "#รู้ไหมว่า…#ปัจจุบันมีดาวเทียมโคจรรอบโลกกี่ดวง ?" 

โดยระบุว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรารับรู้มาโดยตลอดถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนดาวเทียมที่ถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศเพื่อปฏิบัติภารกิจที่แตกต่างกันออกไป

ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การพยากรณ์อากาศ สนับสนุนภารกิจด้านความมั่นคง ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลกด้วยดาวเทียม เพื่อบันทึกภาพพื้นผิวโลก ติดตามการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และเพื่อการสื่อสาร เป็นต้น แต่ตัวเลขที่แน่นอนคือเท่าไรกันแน่ ?

ขณะที่การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบไปแทบจะทุกอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมอวกาศกลับเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

โดยอ้างอิงจาก Union of Concerned Scientists (#UCS) พบว่า ณ วันที่ 1 ม.ค.2564 มีดาวเทียมโคจรรอบโลก 6,542 ซึ่งแบ่งเป็นดาวเทียมที่อยู่ในสถานะใช้งานได้ปกติ 3,372 ดวง และอีก 3,170 ดวง เป็นดาวเทียมที่ปลดระวางกลายเป็นขยะอวกาศ

ในขณะเดียวกัน เมื่อตรวจสอบจากฐานข้อมูลออนไลน์วัตถุอวกาศที่ถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ United Nations Office for Outer Space Affairs พบว่านับตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลจนถึงวันที่ 30 เม.ย.2564 มีดาวเทียมที่ถูกส่งขึ้นไปแล้ว 11,139 ดวง

ซึ่งปัจจุบันมีดาวเทียมที่ยังคงอยู่ในวงโคจร 7,389 ดวง เพิ่มขึ้น 27.97% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 ส่วนที่เหลือบางส่วนถูกเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ หรือกลับสู่โลกในรูปแบบเศษซาก เช่น จรวดนำส่งดาวเทียมจีน Long March 5C ที่ตกสู่มหาสมุทรอินเดีย เป็นต้น

ในปี 2563 มีดาวเทียม 1,283 ดวง ถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศ นับว่าเป็นปีที่มีการส่งดาวเทียมสูงที่สุดเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตามในปี 2564 ข้อมูล ณ วันที่ 30 เม.ย.2564 มีดาวเทียมถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศแล้ว 850 ดวง

สาเหตุหลักที่ทำให้ตัวเลขของจำนวนดาวเทียมเติบโตมากขนาดนี้ เนื่องมาจากความต้องการข้อมูลจากดาวเทียมในอุตสาหกรรมต่างๆ

ซึ่งดาวเทียมแต่ละดวงจะถูกออกแบบให้ทำการเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป บางดวงออกแบบให้เก็บข้อมูลได้หลากหลาย บางดวงออกแบบสำหรับภารกิจเฉพาะด้าน

ข้อมูลต่อไปนี้เป็นข้อมูลดาวเทียมที่ยังใช้งานได้ปกติแบ่งตามประเภทของภารกิจ อ้างอิงจาก UCS ณ วันที่ 31 ธ.ค.2563 ดังนี้
ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร 1,832 ดวง
ดาวเทียมเพื่อการสำรวจโลก 906 ดวง
ดาวเทียมเพื่อการพัฒนาและสาธิต 350 ดวง
ดาวเทียมเพื่อการนำทาง 150 ดวง
ดาวเทียมเพื่อการศึกษาด้าน Space science and observation 104 ดวง
ดาวเทียมเพื่อการศึกษาด้าน Earth Science 20 ดวง
ดาวเทียมเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ 10 ดวง

ส่วน 10 ประเทศอันดับแรกที่ครองอุตสาหกรรมดาวเทียม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น อินเดีย สหภาพยุโรป แคนาดา เยอรมนี และลักเซมเบิร์ก

การเพิ่มขึ้นของจำนวนดาวเทียมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาดาวเทียมที่มีขนาดเล็กกว่า CubeSat ส่งผลให้สามารถปล่อยดาวเทียมขนาดเล็กจำนวนมากได้พร้อมกันในการขนส่งสู่อวกาศแต่ละครั้ง

ซึ่งก่อนหน้านี้การนำส่งดาวเทียมทำได้เพียง 1 ดวง หรือ 2 ดวงต่อครั้งเท่านั้น ด้วยข้อจำกัดของขนาดจรวดนำส่งและขนาดของดาวเทียม

อีกสาเหตุหนึ่งก็มาจากยอมรับศักยภาพของข้อมูลจากดาวเทียมที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในด้านภูมิสารสนเทศได้หลากหลาย อาทิ การเกษตร ความมั่นคงด้านอาหาร การพัฒนาเมืองและชนบท สุขภาพ

การจัดการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม การขนส่งทางน้ำ การจัดการภัยพิบัติ และการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น

ปัจจัยการพัฒนาอื่นๆ ที่ทำให้จำนวนการดาวเทียมเพิ่มขึ้น คือการแข่งขันการให้บริการผ่านดาวเทียม โดยเฉพาะกลุ่มดาวเทียม SpaceX Starlink ซึ่งในเดือน พ.ค.2564 บริษัท SpaceX ได้ส่งดาวเทียม Starlink จำนวน 172 ดวง ด้วยการขนส่งสู่อวกาศ 3 ครั้ง

ทำให้ปัจจุบันมีกลุ่มดาวเทียม Starlink มากกว่า 1,600 ดวง โคจรที่ความสูงประมาณ 550 กิโลเมตร เหนือพื้นโลก ขณะที่บริษัท OneWeb ของรัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ปล่อยดาวเทียมไปแล้ว 72 ดวงในช่วงต้นปี 2564

นอกจากนี้ ยังมีบริษัทอื่นๆ เช่น Kuiper (บริษัทในเครือของ Amazon) และ Lightspeed จากบริษัท Telesat ของแคนาดาที่กำลังวางแผนที่จะเปิดตัวกลุ่มดาวเทียมให้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีคาดว่าจะมีจำนวนดาวเทียมตั้งแต่หลักร้อยถึงสองสามพันดวงในอนาคตอันใกล้นี้

ตัวเลขของจำนวนดาวเทียมที่กล่าวมาข้างต้น หากฟังผิวเผินก็ดูน่าตื่นเต้นกับพัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศในปัจจุบัน แต่ทว่าความกังวลเกี่ยวกับการจัดการจราจรในอวกาศและเศษซากอวกาศก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน

อ้างอิงจาก NASA ระบุว่าปัจจุบันมีขยะอวกาศหลายล้านชิ้นล่องลอยอยู่ในระดับวงโคจรต่ำ (Low earth orbit) หรือความสูงน้อยกว่า 1,000 กิโลเมตร เหนือระดับพื้นโลก

ซึ่งประกอบด้วยยานอวกาศ ชิ้นส่วนขนาดเล็กจากยานอวกาศ ชิ้นส่วนของจรวดและดาวเทียมที่ปลดระวางหรือสูญหาย รวมถึงวัตถุที่เกิดจากการระเบิดในอวกาศ

"ขยะอวกาศ" ส่วนใหญ่กำลังล่องลอยด้วยความเร็วสูงมากในอวกาศ ทำให้มีโอกาสสูงเช่นกันที่จะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ยิ่งจะส่งผลให้เกิดขยะอวกาศอีกจำนวนมากที่เป็นอันตราย

อาทิ การรบกวนช่องสัญญาณของดาวเทียมที่ใช้งานอยู่ใกล้เคียง การส่งสัญญาณไปรบกวนการสื่อสารระหว่างนักบินอวกาศและสถานีอวกาศนานาชาติ

และสุดท้ายขยะอวกาศอาจจะสร้างความเสียหายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่นำไปสู่ภัยพิบัติขนาดใหญ่ได้ อีกทั้งขยะอวกาศยังเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยของผู้คนและทรัพย์สินทั้งบนโลกและในอวกาศ รวมถึงการปฏิบัติสำรวจอวกาศในอนาคตอีกด้วย

นี่คือเหตุผลที่การจัดการการจราจรในอวกาศและการตรวจสอบเศษซากขยะอวกาศเป็นความท้าทายระดับโลกที่ต้องแก้ไขทันที Inter-Agency Space Debris Coordination Committee (IADC)

ซึ่งเป็นเวทีระดับนานาชาติของหน่วยงานภาครัฐสำหรับการประสานงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของเศษซากขยะอวกาศทั้งที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์และธรรมชาติในอวกาศ ได้ให้แนวทางในการลดเศษซากและสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

เมื่อเร็วๆ นี้ ESA ก็ได้เปิดตัวโครงการสร้างดาวเทียม ClearSpace-1 ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจแรกของโลกในการกำจัดเศษซากอวกาศ ซึ่งมีกำหนดส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศในปี พ.ศ.2568

โลกในอนาคตที่มีความต้องการการรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่ขึ้น ที่รวดเร็วขึ้นและเข้าถึงทุกๆ พื้นที่บนโลก ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นต้องใช้แบนด์วิดท์และครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น

เทคโนโลยีอวกาศจึงเป็นตัวเลือกหลายประเทศได้เริ่มลงทุนพัฒนาให้เห็นแล้ว ควบคู่ไปกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำยุคในปัจจุบันจะทำให้อุตสาหกรรมอวกาศ

โดยเฉพาะดาวเทียมเชิงพาณิชย์จะเฟื่องฟูในปีต่อๆ ไป และแน่นอนว่าเราคงต้องเริ่มตระหนักเกี่ยวกับปัญหาจากขยะอวกาศก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาที่ควบคุมไม่อยู่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง