วันนี้ (11 ก.ค.2564) นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
"วัคซีนซิโนแวค หลังจากฉีด 2 เข็ม จะเห็นภูมิคุ้มกันที่ยับยั้งไวรัสได้ที่ 30 วัน หลังจากฉีดเข็มที่ 2"
โดยในระยะแรกบุคลากรทางสาธารณสุข ยังไม่ติดเชื้อมากนัก หรือหากติดเชื้อจะมีอาการน้อย แต่ก็ยังแพร่ไปยังคนอื่นได้ด้วยปริมาณไวรัสในจำนวนสูง
ระยะต่อมาบุคลากรทางสาธารณสุข เริ่มติดเชื้อ COVID-19 มากขึ้นต่อเนื่อง รวมไปถึงทีมแพทย์ พยาบาลจบใหม่ที่เพิ่งไปทำงานที่ต้นสังกัด ในต่างจังหวัด ก็พบติดเชื้อ COVID-19 เช่นกัน และอาการเริ่มมากขึ้น โดยเฉพาะมีปอดอักเสบ แต่ยังไมถึงกับเสียชีวิต
กระทั่งพบเห็นญาติของพยาบาล cohort wart อายุ 30 ปี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า น้องสาวเป็นพยาบาล cohort wart อายุ 30 ปี สุขภาพแข็งแรง ติดเชื้อ COVID-19 จากการทำงาน แม้จะฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 โดสแล้ว พร้อมตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพวัคซีน ในการลดอาการป่วยรุนแรง และลดอัตราการเสียชีวิต

อย่างไรก็ตาม นพ.ธีระวัฒน์ ระบุว่า บุคลากรทางการแพทย์ได้ตรวจสอบภูมิคุ้มกันในเลือดเอง รวมทั้งคนที่ปฏิบัติงานในห้องปฏิบัติการ ซึ่งต้องพบเชื้อ COVID-19 ตลอดทั้งวัน พบว่า ระดับภูมิคุ้มกันลดลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่าในระยะแรก (หลังฉีดวัคซีน) จะสูงถึง 90 % แต่ (ภูมิคุ้มกัน) ก็ตกลงเหลือ 30-40 %
เมื่อทำการวิเคราะห์คนที่ภูมิคุ้มกันยังอยู่ในระดับพอใช้ได้ คือ 70 % ปรากฏว่า ต่อสู้กับไวรัสอัลฟา และเดลตาแทบไม่ได้ ซึ่งเป็นงานของดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ที่ไบโอเทค ร่วมกันกับ นพ.เขตต์ ศรีประทักษ์ สถาบันโรคทรวงอก และศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ ซึ่งวิเคราะห์ระดับภูมิคุ้มกันในเลือด

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้า มีโอกาสพบผู้ติดเชื้อทั้งที่มี และไม่มีอาการตลอดเวลา เมื่อติดเชื้อแล้วก็มีโอกาสแพร่ให้ผู้อื่นทั้งผู้ป่วย และเพื่อนร่วมงาน จนอาจเกิดปัญหาที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องหยุดงาน กักตัว จึงขอเรียกร้องให้มีวัคซีนบูสเตอร์เข็มที่ 3 เพื่อต่อสู้กับไวรัสกลายพันธุ์
พวกเราไม่ใช่วีไอพี ไม่ใช่คนที่มีอภิสิทธิ์กว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศ แต่เพื่อให้ทำงานต่อไปได้ เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไปหาคนอื่นได้มากหลาย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ที่ปรึกษา ศบค. เผยไทยเข้าสู่ระลอก 4 จากไวรัสกลายพันธุ์
สื่อสังคมออนไลน์ดันแฮชแท็ก #ฉีดPfizerให้บุคลากรการแพทย์