วันนี้ (19 ก.ค.2564) นายพิชัย วัชรวงษ์ไพบูลย์ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 สาขาเพชรบุรี เปิดเผยถึงสถานการณ์การระบาดของโรคลัมปี สกิน ในพื้นที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า ข้อมูล ณ วันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา มีสัตว์เลี้ยงป่วยสะสมทั้งหมด 3,260 ตัว สัตว์เลี้ยงหายป่วยสะสม 1,009 ตัว ตายสะสม 225 ตัว คงเหลือป่วยสะสม 2,026 ตัว
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMh1PFPFmo5fbqHwzJKgW1AgmQOFv.jpg)
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อุทยานป่ายาง และหน่วยพิทักษ์ห้วยลึก สำรวจและสังเกตพฤติกรรม ติดตามถ่ายภาพกระทิง เพื่อเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคลัมปี สกิน ในสัตว์ป่า โดยบริเวณโป่งสลัดได ถ่ายภาพเมื่อวานนี้ (18 ก.ค.) เวลา 16.46 น. พบกระทิง 46 ตัว บริเวณแปลงหญ้าทหาร ถ่ายภาพเวลา 16.20 น. พบกระทิง 67 ตัว
ลาดตระเวนไม่พบกระทิงตายเพิ่ม
นอกจากนี้ มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สายตรวจลาดตระเวนชุดที่ 1 และชุดที่ 2 ลาดตระเวนตรวจสอบพื้นที่ ไม่พบซากกระทิงตายเพิ่ม ผลจากการสำรวจพบกระทิง 2 ตัว ที่ต้องสงสัยว่ามีรอยโรคระบาดลัมปี สกิน แต่กระทิงทั้ง 2 ตัว ยังไม่แสดงอาการอ่อนแอใด ๆ สามารถกินได้ตามปกติ เบื้องต้นส่งภาพให้สัตว์แพทย์ตรวจสอบเพื่อยืนยันว่าใช่รอยโรค ลัมปี สกิน หรือไม่
![ภาพ : กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMh1PFPFmo5fbqHwocmRhwViaTrQG.jpg)
ภาพ : กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
ภาพ : กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
สัตวแพทย์จะนำไปตรวจสอบอย่างละเอียด เบื้องต้นรอยโรคอาจยังไม่ชัด หากเป็นโรคลัมปี สกิน จะต้องมีอาการอย่างอื่นประกอบและต้องมีรอยโรคมากกว่านี้ จากการประเมินสภาพทั่วไปยังกินและดำรงชีวิตได้ปกติ
ขณะที่นายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน นายสัตวแพทย์ชำนาญการพิเศษ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ข้อมูลไว้ว่า ลัมปี สกิน ถือเป็นโรคอุบัติใหม่ในไทย พบการเกิดในปศุสัตว์และสัตว์ป่า โดยเฉพาะสัตว์กีบ เช่น วัว ควาย และมีความเสี่ยงที่จะติดสู่สัตว์ป่า ได้แก่ กระทิง วัวแดง ควายป่า รวมไปถึงเก้ง กวาง เลียงผา ช้างป่า และอื่นๆ ที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะยังไม่เคยมีข้อมูลรายงานมาก่อน โดยทั่วไปโรคนี้มีอัตราการป่วยอยู่ที่ 5-45% อัตราการตายน้อยกว่า 10%
ปศุสัตว์รอบพื้นที่ อช.กุยบุรี ป่วย 19%
ในพื้นที่การระบาดในปศุสัตว์รอบอุทยานแห่งชาติกุยบุรี มีอัตราการป่วยที่ 19% อัตราการตาย 1% ซึ่งปัจจัยที่สำคัญในการจัดการเพื่อลดอัตราดังกล่าว คือ การทำวัคซีนในกลุ่มที่ไม่ป่วย และรักษาให้รอดในกลุ่มที่ป่วย ซึ่งปศุสัตว์ทำได้ดี ถือเป็นมาตรการแรกที่สำคัญในการป้องกันการติดต่อสู่สัตว์ป่า
![ภาพ : กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMh1PFPFmo5fbqHwp5dVU858kC4Bi.jpg)
ภาพ : กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
ภาพ : กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
เมื่อมองในจุดที่เป็นสัตว์ป่า ซึ่งมีพื้นที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ปศุสัตว์ โอกาสสัมผัสเชื้อโดยตรงมีโอกาสสูง หรือการสัมผัสใกล้ชิดกันของสัตว์ ติดจากน้ำลาย สารคัดหลั่ง สะเก็ดแผล แต่ไม่มากเท่ากับตัวพาหะนำโรค คือ แมลงดูดเลือด เช่น เห็บ แมลงวันดูดเลือด และยุง เป็นพาหะตัวกลางในการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งปัจจัยนี้เองถือเป็นเรื่องยากและท้าทายในการควบคุมและป้องกัน
เร่งฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยง-กันพื้นที่สัตว์ป่า
กลยุทธ์ที่สำคัญในการตอบสนองต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคนี้ คือ จัดการในสัตว์ที่ควบคุมและเข้าถึงตัวได้ คือ สัตว์เลี้ยงของเกษตรกร ด้วยการทำวัคซีน และทำลายแหล่งที่อยู่ของแมลงนำโรคต่าง ๆ คือ ด้านสุขอนามัยในชุมชน หรือสถานที่เลี้ยงสัตว์ งดการเคลื่อนย้ายสัตว์ป่วย ควบคู่กับการควบคุมป้องกันไม่ให้มีการใช้พื้นที่ร่วมกันระหว่างปศุสัตว์และสัตว์ป่า หน่วยหลักเป็นกรมปศุสัตว์ กรมอุท ยานฯ และหน่วยงานปกครองท้องถิ่น
การควบคุมโรคที่ตัวสัตว์ป่า เช่น การทำวัคซีน อาจมีข้อพิจารณาที่ต้องหาเหตุรองรับพอสมควร แต่การจัดทำระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ เพื่อควบคุม ป้องกัน กำจัด และจำกัด โรคติดต่อระหว่างนอกป่า-ในป่า จึงเป็นสิ่งที่ทำได้เลย ซึ่งเป็นมาตรการและแนวทางป้องกันที่จะได้ดำเนินการต่อไป
ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่นำชิ้นเนื้อซากกระทิงตัวผู้ อายุ 15-20 ปี น้ำหนัก 1,200-1,300 กิโลกรัม ที่นอนตายในลำห้วยบริเวณท้ายบ่อน้ำ 2 เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไปตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการ ผลพบว่า ติดเชื้อลัมปี สกิน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
รอผลแล็บ "กระทิงกุยบุรี" ตายจากลัมปี สกิน?
ผลแล็บชี้กระทิงกุยบุรี ติด "ลัมปี สกิน" ตาย 1 ตัว
อุทยานฯ ยกระดับคุม "ลัมปี สกิน" ประชิดป่าห้วยขาแข้ง