ตามรอยพระบาทการเก็บน้ำในถ้ำ

สังคม
14 มี.ค. 65
15:10
942
Logo Thai PBS
ตามรอยพระบาทการเก็บน้ำในถ้ำ
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ฝนประเทศไทยตกลงมาไม่น้อยกว่าพื้นที่อื่นของโลก แต่เพราะยังไม่มีที่กักเก็บไว้มากพอ และบนภูเขามีพืชคลุมดิน และรากใต้ดินไม่เพียงพอจะอุ้มหน่วงน้ำมหาศาลเหล่านั้นไว้พอ น้ำจึงไหลชะหน้าดินพาตะกอนให้ไปสะสมตามลำน้ำ นานเข้าลำน้ำและกว๊านบึงจึงตื้นเขิน เก็บน้ำได้น้อย

น้ำเหนือมาทีก็จะไหลบ่าท่วมออกข้างตลิ่ง น้ำผ่านไปหมดก็อดใช้น้ำ หน้าแล้งลากยาว ก็จะเดือดร้อนกันทั่ว วัฏจักรนี้วนเวียนมานานปี

เขื่อนและอ่างใหญ่นั้น สร้างทีไรก็จะต้องขวางการไหลของน้ำไว้ จึงมักทำให้เกิดการท่วมยกระดับของทางน้ำ ที่ดินที่ถูกน้ำท่วมเพื่อเก็บรักษาน้ำไว้ จึงได้รับผลกระทบมากเสมอ

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมนำคณะเดินทางของคณะอนุกรรมาธิการการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ อนุกรรมาธิการของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของวุฒิสภา เดินทางไปตามรอยพระบาทการหาทางแก้ไขปัญหาการจัดเก็บน้ำ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงดำริไว้นานมาแล้ว และไม่ก่อให้เกิดผลเป็นวัฏจักรข้างต้น เพราะทรงทดลองเก็บน้ำในถ้ำธรรมชาตินี่เอง

น้ำที่เก็บไว้ในถ้ำจะไม่ระเหยเพราะความร้อนหรือไอแดด ต่างจากการเก็บแบบกลางแจ้ง การท่วมของระดับน้ำคงไม่ต้องยกตัวขึ้นสูง ไม่เดือดร้อนพื้นที่ดินข้างเคียง

ในต่างประเทศ อย่างที่ญี่ปุ่น อินโดนีเซียก็มีการเก็บน้ำด้วยการกักทางน้ำในถ้ำเช่นกัน แต่ในหลวง ร.9 ทำไปเสร็จแล้วในราคาไม่ถึง 18 ล้านบาท และใช้งานมาเกือบจะ 20 ปีแล้ว ก็ยังใช้การได้ดี

และมีผลให้น้ำใต้ดินบริเวณนั้น และในพื้นที่ต่อเชื่อมทางน้ำใต้ดิน มีน้ำงอกเงย เข้าสู่สระเก็บของราษฎรต่อเนื่อง

โครงการอ่างเก็บน้ำในถ้ำนี้มีขนาดเล็ก ตามขนาดของถ้ำทรงพระดำริให้ใช้ที่เก็บ ถ้ำนี้อยู่ที่ห้วยลึก อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

ผู้ใหญ่ที่กรุณาแนะนำให้ผมไปเยี่ยมชม มิใช่ใครอื่น คือ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งเป็นหน่วยให้ทุนทำโครงการกับกรมชลประทานมาตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2542 โน่นครับ

 

เมื่อปลายปี 2564 โควิดโอมิครอนเพิ่งปรากฏตัวในไทย ผมเขียนเล่าเรื่องระบบน้ำในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน เผยแพร่ ปรากฏว่า ดร.สุเมธ ซึ่งผมเคยมีโอกาสร่วมงานกับท่าน ในตอนผมยังเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี บรรหาร ศิลปอาชา เมื่อปี 2538 ท่านสุเมธ เป็นเลขาธิการสภาพัฒน์ ซึ่งกำลังทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 สื่อสารกลับมา หลังอ่านบทความของผม ที่เผยแพร่ว่า เรื่องการเก็บน้ำในถ้ำ ในหลวง ร.9 ทรงทำไว้ ถ้าสนใจจะนัดให้ไปชม

ผมตอบรับอย่างไม่มีลังเล จัดแจงทำนัดนายช่างชลประทานตามรายนามที่ ดร.สุเมธให้มา แล้วจัดวาระเชิญสมาชิกในคณะอนุกรรมาธิการการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนไปร่วมกัน

ตามรอยพระบาท

ด้วยใจศรัทธาอยากเรียนรู้ และอยากขอแลกเปลี่ยนข้อสังเกตกับทีมนายช่างเจ้าหน้าที่ของชลประทานที่ดูแลโครงการในสนาม สถานที่ตั้งของอ่างเก็บน้ำนี้ อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ขึ้นเหนือไปราวชั่วโมงครึ่ง เข้าซอยไปจนเป็นถนนแคบลงแล้วก็เห็นภูเขาลูกย่อมๆ ด้านหน้าภูเขามีผนังอ่างเก็บน้ำยกตัวอยู่สูงจากพื้น 12.5 เมตร

ทั้งสองฟากของกำแพงกันน้ำในวันที่คณะเราไปถึงนี้แห้งสนิทก็จริง แต่เมื่อได้รับฟังบรรยายสรุป จากเจ้าหน้าที่ชลประทานที่มาอธิบายแล้ว ใจของพวกเราก็ท่วมท้นไปด้วยความอิ่มเอิบ และทึ่งในพระอัจฉริยะภาพอันล้ำลึก ในการมองเรื่องน้ำกับชีวิตอย่างแยบคายลึกซึ้งยิ่ง

หลังจากคณะเดินชมบนสันกำแพงกันน้ำ ที่ล้อมครึ่งวงกลมของเขาลูกนี้จากมุมบนแล้ว ผมขออนุญาตให้นายช่าง พาลงไปชะโงกชมถ้ำ ที่เป็นทางออกของน้ำมาสู่อ่างเก็บน้ำนี้

เราจึงทยอยเดินลงไปด้านพื้นล่างที่เลนดินยังชื้นๆ เพื่อไปถึงปากถ้ำแคบ ขนาดที่คนคงต้องคลานสี่ขา จึงจะหย่อนตัวเข้าไปในโพรงนี้ได้

เจ้าหน้าที่บอกว่า จากโพรงนี้ต้องลงไปอีกราว 60 เมตร จึงจะถึงระดับของน้ำที่มีในถ้ำขณะนั้น และการลงไปต้องใช้ผู้ชำนาญพิเศษ

เราจึงได้เพียงยืนชะโงกอยู่ข้างปากโพรงนั้น ในวันที่ร้อนจัดวันหนึ่งของเชียงใหม่ ลมไม่มี ใบไม้ไม่มีไหวติง เหงื่อหยดเป็นริ้วบนใบหน้าเนื้อตัวทุกคน

 

แต่แล้วทุกคนต้องประหลาดใจที่มีไอเย็นพ่นออกมาเบาๆ ตลอดเวลาจากโพรงถ้ำปะทะตัวเราทุกคน

ไอเย็นของน้ำในถ้ำทำให้เหมือนเรายืนหน้าเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ ไร้เสียงเครื่องจักรยนต์ใดๆ มีเพียงสายลมเย็นชื่นใจโชยชโลมหน้าเรา ราวตู้เย็นที่เปิดอ้าออก

อ่างเก็บน้ำนี้มีขนาดเล็กตามขนาดของระบบโพรงถ้ำและน้ำฝน ที่เขาย่อมๆ ลูกนี้สะสมได้จากฝน และน้ำใต้ภูเขาที่มารวมกัน

ถ้ำของภูเขาลูกนี้มีความลึกราว 600 เมตร

ดังนั้นเมื่อเทียบกับความลึกของถ้ำที่มีน้ำไหลเข้า และมีความลึกมากๆ อย่างถ้ำทรายทอง ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน หรือถ้ำอื่นๆ

เราอาจมีถ้ำที่มีลักษณะเหมาะแก่การพัฒนาเป็นที่เก็บน้ำใต้ภูเขา ด้วยเงินลงทุนที่ไม่แพงอีกหลายแห่งทีเดียว

นักสำรวจถ้ำต่างชาติเคยร่วมกับหน่วยราชการของไทยทั้งกรมทรัพยากรธรณี กรมการปกครอง กรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ องค์กรส่วนท้องถิ่น ประมาณว่า ที่จริงไทยมีถ้ำอยู่กว่า 6 พันแห่งทั่วประเทศ

ข้อมูลและความรู้ที่ได้จากอ่างเก็บน้ำในถ้ำตามพระราชดำรินี้จึงสำคัญครับ

 

ที่นี่เก็บข้อมูลมากว่า 16 ปีต่อเนื่อง ซึ่งพอจะชี้ให้เห็นว่า เมื่อถึงฤดูฝนมา น้ำบนเขาจะทยอยไหลเข้าโพรงถ้ำไปเรื่อยจนเต็มล้น เมื่อล้นออกมาทางปากถ้ำ บริเวณที่ราบหน้าถ้ำ จากนั้นซึมลงดินบ้าง ระเหยหายไปบ้าง

แต่เมื่อมีกำแพงโอบรับไว้ น้ำที่ทะลักจากถ้ำออกมาก็จะทำให้แต่ละปี น้ำจะเอ่อยกตัวขึ้นจนถึงระดับยอดของกำแพงอ่างนั่นแหละ

ด้วยระดับน้ำที่ยกขนาดนั้นเอง ที่จะช่วยทำให้เกิดแรงกด ส่งคืนให้ก้นสุดของร่องหลืบของถ้ำหินปูนนี้ มีแรงดันให้น้ำซึมลึกลงไปสู่หรือแผ่ออกไปจนถึงระบบน้ำบาดาลใต้ดินที่ไหลต่อไป ถ้าเรียกภาษาช่างก่อสร้างก็คงเรียกว่ารั่วซึม แปลว่า เสียน้ำ

แต่ถ้ามองให้ลึกแบบนักจัดการน้ำ คงเรียกว่าการชะลอน้ำ มาเติมให้ระบบธนาคารน้ำใต้ดิน โดยมีน้ำกักเก็บเพื่อเติมลงลำรางระบายไปสู่คลองผิวดิน

เมื่อเจ้าหน้าที่ไปทดสอบขุดบ่อในที่ห่างออกไป ปรากฏว่า น้ำใต้ดินจะผุดไปเพิ่มตามบ่อ ตามสระที่อยู่ในเส้นการเดินทางของน้ำใต้ดินจากเขาลูกนี้

ส่วนน้ำในลำธารที่เคยแห้งเหือดหลังฤดูฝน ก็มีน้ำเลี้ยงเข้าลำธารต่อไปได้อีก 3 เดือน สามารถสนับสนุนพื้นที่ที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยลึก จัดสรรให้ราษฏรทำกินประมาณ 200ไร่ ราษฎรจึงสามารถนำน้ำไปวางแผนต่อยอด ทำแผนพัฒนาหมู่บ้านได้

 

ค่าก่อสร้างอ่างเก็บน้ำจากถ้ำนี้ลงทุนด้วยเงิน 13 ล้านบาทเศษ แถมไม่ใช้เงินงบประมาณราชการ แต่เป็นเงินมูลนิธิชัยพัฒนาล้วนๆ

ดังนั้น แม้บ่ายของวันที่คณะเดินทางของเราไป จะเห็นเสมือนว่า เป็นอ่างเก็บน้ำที่แห้งสนิท ไม่มีน้ำบนผิวพื้น แต่ที่จริงน้ำหลักยังเก็บอยู่ในถ้ำใต้ภูเขาต่างหาก มันคือวงจรที่ถูกออกแบบไว้แล้ว เดี๋ยวพอมีฝน ก็จะกักเก็บจนได้ระดับอีก แล้วก็กดน้ำลงสู่ระบบน้ำใต้ดินไปเติมให้ชาวบ้านได้เรื่อยไป

ใครอยากมาเห็นตอนน้ำเยอะๆ แนะให้มาหลังฤดูฝน เพราะเมื่อระดับของน้ำในอ่างสูง แรงดันก็จะกดคืนเข้าไปในถ้ำ เพื่อซึมลงใต้ดินเอง

ที่นี่จึงไม่มีการต้องใช้ปั้มไฟฟ้า ไม่มีประตูเปิดปิดบังคับน้ำ แถมแรงดันน้ำก็มากพอที่จะอัดเอาขอนไม้ใหญ่ๆ ให้ทะลักออกทางปากถ้ำมาทุกปี เก็บขอนเก่าออกหมด พอหน้าน้ำก็มีอัดทะลักออกทางปากถ้ำมาอีก เป็นอย่างนี้มา16 ปีแล้ว

 

ทีนี้มาถึงเกร็ดเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระอัจฉริยะภาพ เกี่ยวกับอ่างเก็บน้ำนี้ ที่ผมค้นเจอจากความเรียงของผู้เล่าอื่น

ตอนที่ในหลวงรัชกาลที่เก้าทรงพระราชทานแนวคิดเรื่องอ่างเก็บน้ำในถ้ำ ในช่วงปี2524นั้น เจ้าหน้าที่ที่รับรู้มีคนไปแอบซุบซิบกันว่า ทำไปก็จะมีแต่น้ำรั่วซึมออกในถ้ำ เพราะธรรมชาติจะเป็นเช่นนั้น และไปพูดกันว่ามีแต่คนบ้าเท่านั้นที่จะรับทำ

และจาก 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2524 ที่เคยรับสั่งไว้ เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินมาพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำห้วยลึก ก็ยังไม่มีใครรับไปสนองพระราชดำริเลย

จนผ่านไปอีก 23 ปี คือ พ.ศ.2547 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินไปในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ที่เมืองทองธานี ทรงรับสั่งเปรยถึงพระราชดำริเรื่องอ่างเก็บน้ำในถ้ำกับ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในขณะนั้น

 

ปรากฏว่า ผู้ตามเสด็จฯ อยู่ในที่ตรงนั้นไม่มีใครรู้เรื่องนี้มาก่อนสักคน

ดร.สุเมธ ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา จึงรับใส่เกล้าฯ ไปค้นหา แต่ก็ไปด้วยข้อมูลว่า น่าจะที่อำเภอเชียงดาว จึงมุ่งไปถ้ำหลวงเชียงดาว ซึ่งก็จะมีบางส่วนที่มีน้ำในถ้ำเหมือนกัน แต่แล้วก็ไม่น่าจะใช่

ต่อมาพระราชทานเสมือนคำใบ้ลงมาว่า โครงการหลวงห้วยลึก ดร.สุเมธและคณะ จึงไปหาทางสอบถามจากชาวบ้านในละแวกต่อได้

สุดท้ายจึงพระราชทานกากบาทในแผนที่ มาให้สามกากบาท และนำไปสู่การที่มูลนิธิชัยพัฒนา ร่วมกับกรมชลประทาน ช่วยกันออกแบบก่อสร้างจนแล้วเสร็จในไม่นานถัดมา

สิ่งท้าทายเวลานั้นคือ การออกแบบฐานรากที่จะวางน้ำหนักกำแพงกันน้ำนี้บนพื้นที่ๆด้านล่างไม่เจอชั้นหินฐาน เพราะเจาะลงเท่าไหร่ก็เจอเพียงหินลอยก้อนใหญ่น้อยมากมายไปหมด

แต่แล้วด้วยการปรับแบบทางวิศวกรรมฐานราก ใช้การเกาท์ซีเมนต์ลงในทุกหลุมฐานราก ทำให้การก่อสร้างสำเร็จและคงอยู่มาได้ทุกวันนี้ โดยไม่มีการทรุดเลยอย่างน่าอัศจรรย์ แม้น้ำหนักน้ำบวกคอนกรีตจะเปลี่ยนแปลงไปมาเสมอตามฤดูกาลและปริมาณน้ำกักเก็บ

ญี่ปุ่นทำโครงการเก็บน้ำในถ้ำ แต่ใช้งบประมาณไปสูงกว่าหลายๆ เท่าตัว มีคนจากญี่ปุ่นมาเสนอขอศึกษาวิธีการนี้บ้าง มีคนเล่าว่า ทรงจะเก็บไว้ให้คนบ้าชาวไทยเท่านั้นได้ศึกษา เพราะประสงค์ให้ความรู้นี้เป็นเครื่องมือภูมิปัญญาช่วยเหลือกันเองได้ของคนไทย

การก่อสร้างดำเนินไปด้วยความท้าทายหลายอย่าง

ระหว่างนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังเคยเสด็จมาทอดพระเนตรติดตามความคืบหน้าของโครงการฯ ด้วยพระองค์เองด้วย และเสด็จพระราชดำเนินกลับมาทรงเปิดโครงการระบบกักเก็บน้ำในถ้ำตามพระราชดำริ (ถ้ำห้วยลึก) เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2549

ข้อเขียนชิ้นนี้น่าจะช่วยให้เราคนไทยเห็นถึง น้ำทิพย์จากความรู้รอบและเข้าพระทัยเรื่องน้ำของพระองค์ท่าน เข้าถึงข้อมูลว่า แม้เป็นพระราชาที่ราษฏรเทิดทูน แต่ท่านก็ทรงมีความอดทนอดกลั้นสูงยิ่ง ทรงต้องรอนานถึง 23 ปี กว่าที่จะมีใครรับพระราชดำริไปสนองให้เกิด ผู้อ่านยังได้รับทราบถึงน้ำพระราชหฤทัย ที่พระราชทานทุนก่อสร้างจากมูลนิธิชัยพัฒนา มาดำเนินการ

กลับมาเรื่องน้ำในถ้ำที่ได้ไปตามรอยพระบาท

ผมนึกทบทวนถึงข้อมูลที่ว่าไทยมีฝนเยอะไม่แพ้ใคร ถ้ำเมืองไทยมีถึงกว่า 6 พันแห่ง เราต้องการที่กักเก็บน้ำ เพื่อสำรองใช้ในหน้าแล้ง อัตราสูญเสียน้ำจากแดดเผาคือวันละถึง 1 เซนติเมตร น้ำใต้ดินขาดการเติมลงให้ชุ่มอิ่มสม่ำเสมอ

คณะกรรมการบริหารถ้ำแห่งชาติ ที่ตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีก็มีขึ้นแล้ว หลังจากที่ปฏิบัติการกู้ภัย 13 หมูป่าที่ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอนลุล่วง

สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ฝนฟ้าตกไม่ต้องตามฤดูกาล อากาศร้อนขึ้น และแนวพระราชดำริ การเก็บน้ำในถ้ำก็ได้พิสูจน์ให้เห็นความลึกล้ำมาถึง 16 ปีแล้ว

การฟื้นฟูประเทศจากเศรษฐกิจและโควิด ยังต้องใช้ทุนทรัพยากรธรรมชาติและทุนความรู้ต่างๆ ที่มีในสังคมไทยให้แยบคายและยั่งยืน

นี่อาจเป็นอีกเรื่องที่ไขกุญแจดอกเล็กๆ ได้อีกหลายประตูมากๆ เชียวครับ

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
ประธานอนุกรรมาธิการการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
รองประธานกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของวุฒิสภา

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

ข่าวที่เกี่ยวข้อง