สธ.ยัน "ฟาวิพิราเวียร์" รักษาโควิดได้ผล ช่วยอาการดีขึ้น

สังคม
20 มี.ค. 65
07:22
852
Logo Thai PBS
สธ.ยัน "ฟาวิพิราเวียร์" รักษาโควิดได้ผล ช่วยอาการดีขึ้น
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
โควิดวันนี้ ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 24,996 คน หายป่วยเพิ่ม 22,292 คน เสียชีวิต 84 คน ขณะที่ สธ. ยัน "ยาฟาวิพิราเวียร์" มีประสิทธิภาพ ช่วยผู้ป่วยโควิด-19 อาการดีขึ้น

วันนี้ (20 มี.ค.2565) ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานยอดผู้ป่วยรายใหม่ 24,996 คน จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 24,965 คน ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 31 คน ผู้ป่วยสะสม 1,130,534 คน (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2565) หายป่วยกลับบ้าน 22,292 คน หายป่วยสะสม 921,090 คน (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 240,139 คน เสียชีวิต 84 คน

ขณะที่ จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,432 คน เฉลี่ยจังหวัดละ 18 คน อัตราครองเตียง ร้อยละ 25.9 

"ยาฟาวิพิราเวียร์" ช่วยผู้ป่วยโควิด อาการดีขึ้น 

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เริ่มต้นโรคโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ บุคลากรทางการแพทย์จึงต้องหาวิธีในการรักษา โดยนำยาต้านไวรัสที่ขึ้นทะเบียนใช้อยู่เดิมและมีกลไกการออกฤทธิ์ที่น่าจะยับยั้งเชื้อได้มาทดลองใช้ อาทิ ยาต้านไวรัสเอชไอวี ยารักษาไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น และพบว่า "ยาฟาวิพิราเวียร์" ที่ขึ้นทะเบียนกับ อย.ในการรักษาไข้หวัดใหญ่ ทำให้ผู้ป่วยหลายรายอาการดีขึ้น

ในสถานการณ์การระบาดที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก การจัดหายามาใช้นอกจากประสิทธิภาพในการรักษาและความปลอดภัย ยังต้องพิจารณาเรื่องของจำนวนผู้ป่วยที่ต้องจัดหายามารองรับ และความสามารถในการจัดบริการด้วย ซึ่งยาฟาวิพิราเวียร์ประเทศไทยสามารถจัดหาจำนวนมากได้ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป และมีผลการรักษาที่ดี หากป่วยอาการไม่รุนแรงและใช้รักษาเร็ว จะลดโอกาสเกิดอาการรุนแรงและหายป่วยได้ ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านการรักษาและควบคุมป้องกันโรคได้พิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบแล้วจึงตัดสินใจนำมาใช้

 

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ โดยศูนย์วิจัยทางคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ร่วมกับ สถาบันบำราศนราดูร กรมควบคุมโรค และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยแบ่งศึกษาในผู้ป่วย 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 62 คน ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ตามสูตร คือ 1,800 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้งในวันแรก และ 800 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง อีก 4 วัน

ส่วนกลุ่มที่สอง 31 คน ไม่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ ติดตามจากการประเมินอาการของผู้ป่วยและวัดปริมาณไวรัสในโพรงจมูก พบว่า ภายใน 14 วัน กลุ่มที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์มีอาการดีขึ้น 79% ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้รับยาอาการดีขึ้น 32.3% โดยผู้ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์มีอาการดีขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 ของการรักษา และในวันที่ 13 และ 28 ของการรักษาจะมีปริมาณไวรัสต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้รับยา แต่มีข้อจำกัด คือ หากรักษาช้าและอาการค่อนข้างหนัก ประสิทธิภาพของยาจะไม่ดีนัก

 

นพ.โอภาส กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่า ไม่มีการนำยาที่ไม่มีประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล หรือเป็นอันตรายมาใช้รักษาผู้ป่วย และที่ผ่านมามีผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับการรักษาด้วยยาฟาวิพิราเวียร์เกินกว่าล้านคน ช่วยลดการเสียชีวิต ทำให้หายป่วยกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ และช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคได้ จึงขอให้เชื่อมั่นในยาที่ใช้รักษา

เปรียบเทียบ 4 ตัวยารักษาโควิด 

ด้าน นพ.มานัส กล่าวว่า การรักษาโควิด-19 ผู้เชี่ยวชาญมีการติดตามข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และประชุมร่วมกันเพื่อปรับแนวทางการรักษาเป็นระยะตามหลักฐานเชิงประจักษ์ ล่าสุดได้ปรับปรุงแนวทางการรักษาไปเมื่อวันที่ 1 มี.ค.2565 และสัปดาห์หน้าอาจจะมีการปรับปรุงอีกครั้ง

 

สำหรับยาฟาวิพิราเวียร์มีการใช้มาแล้ว 2 ปี ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส จากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์มีอาการดีขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยา โดยเฉพาะในช่วง 14 วัน ส่วนยาเรมดิซิเวียร์ มีกลไกการออกฤทธิ์ตำแหน่งเดียวกับยาฟาวิพิราเวียร์ ได้รับการรับรองจาก อย.สหรัฐฯ ให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน โดยให้ทางหลอดเลือดดำสำหรับผู้ที่รับประทานไม่ได้ มีปัญหาเรื่องการดูดซึมยา และใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ จากการศึกษาวิจัยพบว่าผู้ป่วยมีอาการน้อยลง และช่วยลดการนอนโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับยาหลอก

ส่วนยาอีก 2 รายการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ คือ ยาโมลนูพิราเวียร์ กำลังเตรียมการกระจายยา กลไกออกฤทธิ์จุดเดียวกับยาฟาวิพิราเวียร์ ช่วยให้ผู้ป่วยลดความเสี่ยงการเกิดอาการรุนแรง และยาแพกซ์โลวิด กำลังดำเนินการจัดหาเข้ามา มีกลไกการออกฤทธิ์ที่เอนไซม์ทำให้เชื้อลดจำนวนลง ไม่สามารถเกิดผลกับโรคได้ ช่วยลดความเสี่ยงการนอนโรงพยาบาลลง 88% กรณีให้ยาภายใน 5 วันหลังมีอาการ คาดว่าจะเข้ามาในกลางเดือน เม.ย.นี้ 

 

นพ.มานัส กล่าวว่า จากการติดตามการใช้ยามาสักระยะ พบว่าแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เช่น เรมดิซิเวียร์ช่วยกลุ่มอาการปานกลาง ใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ ยาฟาวิพิราเวียร์ให้ได้ในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาส 2 และ 3 แต่โมลนูพิราเวียร์และแพกซ์โลวิด มีข้อห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร รวมถึงเป็นยาใหม่จึงมีราคาสูงถึงคอร์สละ 10,000 บาท ขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ราคาคอร์สละ 800 บาท และเรมดิซิเวียร์ 1,512 บาท

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง