วันนี้ (31 พ.ค.2565) รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวในรายการประจักษ์จับประเด็น รายการออนไลน์ของไทยพีบีเอส ถึงกรณี กกต.ยังไม่รับรอง "ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" เป็นผู้ว่าฯ กทม. โดยระบุว่า ต้องให้เวลา กกต.พิจารณาสักหน่อย
ซึ่งจากข้อร้องเรียนเรื่องป้ายหาเสียง มองว่าเป็นประเด็นได้ ซึ่งเข้าข่ายสามารถตีเป็นมูลค่าเงินที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่เลือกได้ แต่ข้อร้องเรียนดังกล่าวนี้ จะมีน้ำหนักมากพอให้ กกต.ไม่ประกาศรับรอง หรือ แจกใบส้ม หรือไม่ จุดนี้มองว่า ไปไม่ถึง และเบาบางเกินไปที่จะบอกว่า "ชัชชาติ" เกี่ยวข้องกับการทุจริตการเลือกตั้ง จนเป็นเหตุให้ชนะการเลือกตั้ง
จะมีสักกี่คนที่เอาป้ายนี้ไปใช้ประโยชน์ ผมยังไปเอาไม่ทันเลย ปกติซาเล้งจะเล็งป้ายแทบทุกเบอร์ เอาไปใช้ประโยชน์ต่อ
การทุจริตจะต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่โต และมีน้ำหนักเพียงพอที่จะนำไปสู่ชัยชนะการเลือกตั้ง แต่กรณีป้ายหาเสียงดังกล่าว ไม่น่าเกี่ยวข้องกัน
ซึ่งการตัดสินข้อร้องเรียนนี้ กกต.ต้องใช้ความรอบคอบในการพิจารณา แต่ระหว่างการพิจารณา สามารถฟังความเห็นจากสำนักงานกฎหมายของ กกต.ที่มีมากว่า 100 คน เพิ่มเติมได้ หรือ สามารถปรึกษาที่ปรึกษากฎหมาย ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิประมาณกว่า 10 คน ให้ช่วยพิจารณากรณีดังกล่าวได้ แล้วจึงค่อยมาตัดสินใจและลงมติ แต่การลงมติ กกต.ทั้ง 7 คน ต้องรับผิดชอบกับมติด้วย
รศ.สมชัย แนะนำว่า หากข้อร้องเรียนดังกล่าว ไม่ได้เป็นประเด็นมากเท่าที่ควร ให้ประกาศรับรองเลย ไม่ต้องดึงเวลาให้ครบ 30 วัน แต่หากพบว่า มีความผิด ก็ให้ประกาศและให้ใบส้มได้ทันที
อย่างไรก็ตาม หาก "ชัชชาติ" ได้ใบส้ม จะต้องมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ ให้คนกรุงเทพฯ กว่า 4 ล้านคนออกมาใช้สิทธิอีกครั้ง โดย กกต.ต้องจ่ายค่าจัดการเลือกตั้ง จำนวน 340 ล้านบาท และ "ชัชชาติ" จะถูกตัดสิทธิ์ลงสมัคร 1 ปี จากนั้น กกต.ต้องไปฟ้องศาลอาญาว่า "ชัชชาติ" ทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ต้องชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้ง 340 ล้านบาท ต้องรับโทษทางอาญา
คุณชัชชาติมีสิทธิป้องกันตัว สามารถหาทนายมาสู้ในชั้นศาล หาก กกต.แพ้ ก็ต้องรับกรรมต่อไป เช่นเดียวกับกรณี "สุรพล" ที่เชียงใหม่
อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวทิ้งท้ายกับชาวกรุงเทพฯ ว่า เมื่อผลการตัดสินของ กกต.ไม่เป็นอย่างที่ต้องการ ให้ประชาชนต่อสู้ภายใต้กติกาทางกฎหมาย หากให้เลือกตั้งใหม่ ก็เลือกคนใหม่ที่คิดว่าดีเข้าไป และใช้สิทธิตรวจสอบ กกต.
ใช้กระบวนการต่อสู้ทางกฎหมาย ดีกว่าการออกมาที่ถนน เพราะอาจจะเข้าทางใคร ที่ต้องการให้ความวุ่นวายเกิดขึ้น ถ้าเข้าแผนเขา ก็อาจจะเกิดโอกาสบางอย่างได้ ประชาชนต้องมีสติ