จากผลการศึกษาของ TDRI เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการเลี้ยงดูเด็กเล็กตามแนวทาง Minimum Income Standard หรือ MIS เช่น ค่านม ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่าเดินทาง และค่าของเล่นเพื่อพัฒนาการการเรียนรู้ ของแต่ละครอบครัว พบว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3,373 บาทต่อเดือน
แต่เงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ที่รัฐบาลสนับสนุนให้เด็กคนละ 600 บาทต่อเดือน ตอบโจทย์รายจ่ายส่วนนี้เพียงแค่ร้อยละ 22 ทำให้ครอบครัวต้องแบกรับภาระนี้ โดยเฉพาะครอบครัวยากจน ที่ขาดกำลังในงบประมาณส่วนนี้ ส่งผลให้เด็กขาดโภชนาการและพัฒนาการที่เหมาะสม
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhpEw3YEXSruuqPFBIhWeoq2jyIw.jpg)
นางสุนี ไชยรส ประธานคณะทำงานฯ กล่าวว่า ตอนนี้ต้องมองข้ามไปถึงการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งหวังว่ารัฐบาลใหม่ไม่ว่าหน้าตาจะเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลง ต้องมาสู้กันที่นโยบาย เพราะเรื่องสวัสดิการเด็กเล็กเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่ตอนเลือกตั้งก่อนหน้านี้ก็หาเสียงเรื่องนี้ไว้ด้วย ครั้งนี้จึงเสนอต่อพรรคการเมืองว่า ขอให้มาทบทวนอีกครั้ง
อยากให้สังคมอย่าไปกังวลแต่เรื่องการย้ายพรรค แต่ไม่มีใครพูดเรื่องสวัสดิการสังคมที่ต้องให้พรรคการเมืองลุกขึ้นมาตอบ ก็เลยหวังเป็นการสร้างกระแส อยากให้สังคมเห็นว่า การสู้กันทางนโยบายเป็นเรื่องสำคัญ หลังจากนี้ก็จะตามกันต่อ
โดยข้อเสนอสำคัญของคณะทำงานฯ คือ นโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า ที่ปรับเพิ่มเงินอยู่ที่คนละ 3,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้ตอบโจทย์ค่าใช้จ่ายที่ครอบครัวต้องแบกรับทั้งหมด
นอกจากนี้ ยังมีการเสนอประเด็นเกี่ยวกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ที่ตอบโจทย์กลุ่มแรงงานและผู้มีรายได้น้อย เช่น การขยายอายุการรับเด็กเล็ก ตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 3 ปี พร้อมยืดหยุ่นเวลาเปิด - ปิด ให้สอดคล้องกับคนทำงาน เพื่อให้เด็กเข้าถึงการเรียนรู้ที่เหมาะสมตามช่วงวัย
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhpEw3YEXSruuqPAohEOiEaeiTCk.jpg)
ด้านตัวแทนพรรคการเมืองทั้ง 10 พรรคที่เข้าร่วมเวที ตอบรับข้อเสนอนโยบายนี้ โดย พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ระบุว่า พรรคมีนโยบายสร้างคนเพื่อให้คนสร้างเมือง และนโยบายนี้จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ
การแก้ปัญหาหนีไม่พ้นที่ต้องทำให้ประเทศเป็นรัฐสวัสดิการ ซึ่งช่วงอายุที่มีความสำคัญคือการเป็นเด็ก จึงจำเป็นต้องมีสวัสดิการถ้วนหน้าของเด็ก
ขณะที่ ดร.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุว่า พรรคให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก โดยพรรคได้รวบรวมข้อมูลและลงพื้นที่ดูปัญหาจริงด้วย พบว่า เงินอุดหนุนที่ได้ในปัจจุบันจำนวน 600 บาทต่อเดือนตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี ยังไม่ตอบโจทย์
ยังไม่เพียงพอ ไม่ตอบโจทย์ในสภาพเศรษฐกิจที่ตอนนี้กำลังมีความย่ำแย่อยู่ พรรคจึงเห็นว่าการเพิ่มเงินอุดหนุนที่ 1,000 - 1,200 บาท จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กมากกว่า
ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า หากเพิ่มเงินอุดหนุนไปที่ 1,200 บาทต่อเดือน ก็จะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 6 หมื่นล้านบาทต่อปี จึงจำเป็นที่รัฐบาลใหม่จะต้องปรับปรุงระบบงบประมาณและการเก็บภาษี เพื่อให้มีงบประมาณเพียงพอมาใช้ในส่วนนี้
เราสามารถปรับปรุงงบประมาณที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนของภาษีในระบบเศรษฐกิจ เพื่อใหัมีงบประมาณเพียงพอสำหรับการทำสวัสดิการ และยังเป็นเรื่องที่สามารถทำไดัทันที โดยไม่ต้องรอให้มีกฎหมายมารองรับก่อน
ตัวแทนพรรคการเมืองที่เข้าร่วมในเวทีส่วนใหญ่เป็นพรรคฝ่ายค้านและพรรคที่ก่อตั้งใหม่ แต่ไม่ปรากฎตัวแทนจากพรรคร่วมรัฐบาลในชุดปัจจุบัน ซึ่งผู้จัดงานยืนยันว่าได้ส่งจดหมายเชิญทุกพรรคเข้าร่วมด้วยแล้ว