ย้อนรอย ตร.อ้างสน.ไม่มีเครื่องวัดแอลกอฮอล์คดี "เบนท์ลีย์"

อาชญากรรม
12 ม.ค. 66
19:12
704
Logo Thai PBS
ย้อนรอย ตร.อ้างสน.ไม่มีเครื่องวัดแอลกอฮอล์คดี "เบนท์ลีย์"
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ฟังชัดๆ เหตุผลคดีคนขับเบนท์ลีย์ ขับรถชนบนทางด่วน ไม่เป่าแอลกอฮอล์ที่ สน. แต่ใช้การเจาะเลือดตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ "กู้ภัย" คู่กรณี ยืนยันเจ้าของรถหรูไม่ได้บาดเจ็บ และปฏิเสธรถพยาบาลที่ขึ้นมาบนทางด่วนนับสิบคัน แต่กลับหนีไปขึ้นแท็กซี่

ความคืบหน้าของคดีอุบัติเหตุรถยนต์เบนท์ลีย์ เฉี่ยวชนรถยนต์ของผู้อื่นบนทางด่วน ทำให้ได้รับความเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ บริเวณบนทางพิเศษเฉลิมมหานคร เมื่อคืนวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา

ผู้ต้องหาที่ขับรถยนต์หรูชนบนทางด่วน ยืนยันหลังเกิดเหตุว่า "ไม่ได้เมา" หลังจากที่พลเมืองดีถ่ายคลิปไว้ ขณะที่พยายามขึ้นรถแท็กซี่หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ และพยายามโทรศัพท์หาผู้อื่น ซึ่งยังไม่มีอาการบาดเจ็บที่สังเกตได้จากภายนอก

หลังจากมาถึงที่ สน.ทางด่วน 1 เจ้าหน้าที่กู้ภัยก็พยายามสอบถามว่า ตรวจแอลกอฮอล์หรือยัง แต่ผู้ต้องหาก็บอกว่า ขอคุยโทรศัพท์กับเพื่อน ในท่านั่งไขว้ห้าง เคี้ยวหมากฝรั่ง และไม่ตอบคำถามของเจ้าหน้าที่กู้ภัย

ภาพที่เห็น ผู้ก่อเหตุ นั่งเคี้ยวหมากฝรั่ง นั่งคุยโทรศัพท์ อยู่บน สน.ทางด่วน 1 ขณะนั้นเวลา 02.52 น. ห่างจากเวลาเกิดเหตุ 2 ชั่วโมงครึ่ง

กู้ภัยผู้ชาย เป็นคนถ่ายคลิปนี้ และพยายามบอกให้ผู้ก่อเหตุเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ แต่เสียงที่เราอยากให้คุณผู้ชมได้ฟัง อาจจะฟังยากหน่อย แต่จะได้ยินไกลๆ เป็นเสียงสนทนาระหว่าง ตำรวจกับกู้ภัยที่ไม่ได้อยู่ในภาพ

ลองฟังดีๆ จะได้ยินเสียงผู้ชาย ที่คาดว่าเป็นตำรวจ พูดว่า "ไปเป่าที่โรงพยาบาล ที่นี่ไม่มีเครื่องเป่าแอลกอฮอล์"

กู้ภัย: พี่เป่าแอลกอฮอล์กอหรือเปล่า
ตำรวจ: ร้อยเวรอยู่ในที่เกิดเหตุ ผมผู้ช่วย
แล้วใครจะเป็นคนเป่า?
ตำรวจ : โรงพยาบาลสิ ที่นี่ไม่มี พี่

กู้ภัยข้องใจปฏิเสธรถพยาบาล แต่ขึ้นแท็กซี่ 

ทีมข่าวสอบถามกับเจ้าหน้าที่กู้ภัย คนที่ขับรถ อปพร.คันที่ประสบเหตุ นายอิทธิพล ประสงค์ทรัพย์ อาสาสมัครกู้ภัย มูลนิธิฮารูน เล่าว่า คนขับรถเบนท์ลีย์ ให้การว่า รถ อปพร.ขับมาด้วยความเร็ว ทำให้อุบัติเหตุรุนแรงขึ้น

แต่เขายืนยันว่า ขับมาที่ความเร็วประมาณ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้ใช้ความเร็วจนเสี่ยงอันตราย แต่รถของผู้ก่อเหตุชนรถยนต์อีกคัน (ปาเจโร่) จนสะบัดมาอยู่ในเลนขวาสุด ทำให้ รถอปพร.ที่วิ่งมาชนท้าย

หลังเกิดเหตุ โทรศัพท์เรียกรถพยาบาล ให้มาที่จุดเกิดเหตุ  เมื่อเจ้าหน้าที่พยาบาลมาถึง สอบถามผู้ก่อเหตุว่า "บาดเจ็บมั๊ย จะไปกับรถพยาบาลหรือไม่"

แต่ผู้ก่อเหตุยืนยันว่า "ไม่ไป เพราะไม่ได้บาดเจ็บ" แต่กลับเรียกรถแท็กซี่ เพื่อไปโรงพยาบาล นี่คือสิ่งที่เจ้าหน้ากู้ภัย ซึ่งเป็นคู่กรณีของเบนท์ลีย์ สงสัย

ดูแล้วว่าเขาปกติ เพราะถ้าคนเจ็บจ้องจับตรงนั้นตรงนี้ ที่ตัวเองบาดเจ็บ รถพยาบาลเรียกขึ้นมาเป็นสิบคัน แต่ทำไมไม่เรียกอาสากู้ภัย แต่กลับจะเรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาล

หลังจากนั้น มีเจ้าหน้าที่กู้ภัยอีกชุดนึง ตามไปที่ สน. พูดคุยกับผู้ก่อเหตุ ให้เป่าแอลกอฮอล์ และมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยผู้หญิงอีกคนอยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งทีมข่าวได้รับคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่ผู้หญิงว่า เธอได้ยินตำรวจ ซึ่งคาดว่าเป็นผู้ช่วยร้อยเวรฯ พูดว่า

ที่นี่ไม่มีเครื่องเป่า เพราะไม่ใช่ สน.ปกติ ให้ไปเป่าที่โรงพยาบาล

อัยการอาวุโส สำนักงานอัยการสูงสุด เห็นว่า การวัดแอลกอฮอล์ด้วยเครื่องเป่าไม่จำเป็นต้องใช้แรงลมมาก หากผู้ต้องหาเดินลงมาจากรถได้ ก็ไม่ถือว่าบาดเจ็บมากนัก

ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหา "เมาแล้วขับ" อาจจะตั้งข้อหาโดยมิชอบ เพราะตามหลักแล้ว ไม่สามารถนับปริมาณแอลกอฮอล์ย้อนหลังได้

ขณะที่นักกฎหมาย เห็นว่าคดีนี้มีความบกพร่องอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการวัดแอลกอฮอล์ และการไม่ตรวจที่เกิดเหตุ ตามหลักการหากเกิดอุบัติเหตุแล้ว จะต้องกักตัวผู้ต้องหาไว้ก่อน และเป่าวัดแอลกอฮอล์ทันที หากไม่ยอมเป่าจะต้องกักตัวที่สถานีตำรวจ และท้ายสุดคือการนำไปตรวจทางเลือด แต่คดีนี้นำไปตรวจที่โรงพยาบาลช้า ทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์ลดลง จึงทำให้มีข้อสงสัยว่าช่วยเหลือผู้ต้องหาหรือไม่

ผู้เสียหายติดใจผลตรวจแอลกอฮอล์ 

ผู้เสียหาย 6 คน ที่มากับรถมิตซูบิชิ ปาเจโร่ ยังอยู่ระหว่างรักษาอาการบาดเจ็บ โดย ณิชชาวีณ์ ชาติสุริยพัฒน์ หนึ่งในผู้เสียหาย โพสต์เฟซบุ๊ก ภาพของพ่อ หลังเข้ารับการผ่าตัด ใส่เหล็กที่แขน และมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน จึงต้องดูแลแผลเป็นพิเศษ

น้องสาว คอเคล็ด ต้องทำกายภาพบำบัดต่อเนื่อง ตัวผู้โพสต์ บาดเจ็บ ฟกซ้ำจากแรงกดทับ บริเวณที่คาดเข็มขัดนิรภัย และหลานชาย วัย 4 ขวบ ที่เริ่มดีขึ้นจากอาการเสียขวัญ

มีรายงานว่า นายสุทัศน์ คนขับรถเบนท์ลีย์ ส่งตัวแทนไปมอบเงินเยียวยาให้ครอบครัวผู้เสียหาย ที่โรงพยาบาล แต่จากการสอบถามทนายความของผู้เสียหาย ยืนยันและย้ำว่าการชดเชยเยียวยาค่าสินไหม ยังไม่ได้ข้อสรุป ยังอยู่ระหว่างการเจรจา ยังเป็นห่วงเรื่องผลตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ของผู้ก่อเหตุ

ขณะที่วันนี้ พนักงานสอบสวน นำตัวผู้ต้องหา ยื่นฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ 12 วัน ให้เหตุผลว่า การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบปากคำพยานอีก 6 ปาก และไม่คัดค้านการปล่อยชั่วคราว ซึ่งต่อมาศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท

ขณะที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่พบว่าผู้ต้องหาพยายามหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุว่าเป็นการปล่อยปละละเลยหรือไม่ ขณะที่ญาติผู้ต้องหา ได้นำกระเช้า และเงินเบื้องต้นไปช่วยเหลือครอบครัวผู้บาดเจ็บแล้ว 100,000 บาท

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

แจ้งข้อหาเมาแล้วขับ "คนขับเบนท์ลีย์" ชนบนทางด่วน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง