ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ป.ป.ช.สร้างเครือข่ายพิทักษ์ป่า เฝ้าระวัง จนท.รัฐเอี่ยวขบวนการตัดไม้

สิ่งแวดล้อม
13:24
1,490
ป.ป.ช.สร้างเครือข่ายพิทักษ์ป่า เฝ้าระวัง จนท.รัฐเอี่ยวขบวนการตัดไม้
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
คดีการตัดไม้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ถือเป็นคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่พบเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนกระทำผิดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ป.ป.ช. เริ่มทำงานเชิงป้องกัน สร้างเครือข่าย STRONG พิทักษ์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติ ดึงเครือข่ายป่าชุม จ.ร้อยเอ็ด ร่วมทำงาน

ไม้ยางนาอายุหลายร้อยปี และไม้พะยูงที่รอดพ้นจากขบวนการลักลอบตัดไม้เถื่อน ที่มีมากกว่า 1,400 ต้น ในผืนป่าชุมชนดงทำเลดอนใหญ่ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด คือความภาคภูมิใจของกลุ่มจิตอาสาพิทักษ์ป่า ที่ทำงานอย่างหนักมานานเกือบ 20 ปี

นายดวงจันทร์ พาลำโกน ประธานเครือข่ายป่าชุมชน จ.ร้อยเอ็ด บอกว่า พวกเขาจับปืน ออกลาดตระเวนทุกวัน ในช่วงปี 2554-2555 เสี่ยงชีวิตปะทะกับขบวนการลักลอบตัดไม้ แต่เพราะความมุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ปีนี้ปัญหาเริ่มกลับมารุนแรงอีกครั้ง มีการลักลอบเข้ามาตัดไม้พะยูงเมื่อปลายปี 2565 และชาวบ้านควบคุมตัวผู้ที่กำลังขนไม้ไว้ได้ ก่อนแจ้งตำรวจมานำตัวไปดำเนินคดี


บทบาทการปกป้องผืนป่าของชาวบ้าน ทำให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. จังหวัดร้อยเอ็ด เล็งเห็นถึงความสำคัญ จึงได้ร่วมหารือกับกลุ่มจิตอาสาพิทักษ์ป่า เพื่อร่วมกันจัดตั้งเป็น เครือข่าย STRONG พิทักษ์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติ แห่งแรกของจังหวัดร้อยเอ็ด และเป็นแห่งแรกของประเทศ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ต้องทำควบคู่กับการเฝ้าระวังและป้องกันการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ


ป.ป.ช. ต้องทำคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่เจ้าหน้าที่รัฐ หรือ ข้าราชการเข้าไปมีส่วนในการกระทำผิด ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ รุกป่า หรือลักลอบตัดไม้ อย่างต่อเนื่อง อย่างคดีลักลอบตัดไม้พะยูงในสำนักสงฆ์บ้านพยอม ต.ดินดำ อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด ก็อยู่ระหว่างสอบสวนว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนรู้เห็นหรือไม่

 

 

ชาวบ้านที่ปกป้องดูแลป่ายอมรับว่า แม้จะทำหน้าที่ด้วยความเสี่ยง แต่ความปลอดภัยไม่ใช่สิ่งที่พวกเขากังวล พวกเขาอยากเห็นกระบวนการยุติธรรม ที่นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้โดยเร็ว และสาวไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการค้าไม้พะยูง



ป.ป.ช. จังหวัดร้อยเอ็ด จะขยายการทำงานการดูแลป่าควบคู่กับการเฝ้าระวัง ป้องกันการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ไปยังเครือข่ายป่าชุมชนอีกกว่า 200 เครือข่ายทั่วจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อให้การทำงานเห็นผลและแก้ปัญหาได้จริง

ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่พูดคุยกับประธานป่าชุมชนบ้านน้ำคำ อ.ปทุมรัตต์ และสมาชิกเครือข่ายป่าชุมชน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การการทำงานอนุรักษ์พื้นที่ป่าไม้ กว่า 1,014 ไร่ มีไม้พยุงในพื้นที่ป่าชุมชนกว่า 1,000 ต้น เป็นพื้นที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายหมื่นตันต่อปี พร้อมได้ตกลงจัดตั้ง STRONG พิทักษ์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติ แห่งที่ 2 ขึ้นที่ป่าชุมชนบ้านน้ำคำ เพื่อเป็นต้นแบบการดำเนินการที่มีความสามัคคี มีจิตอาสารักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้นแบบการดำเนินการที่เหมาะสม จากนั้นจะขยายเครือข่ายป่าชุมชนที่มีมากกว่า 177แห่งทั่วจังหวัด เพื่อสร้างความเข็มแข็งของเครือข่าย ในอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืนและอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน

มีการจัดกิจกรรม สร้างแนวกันไฟ เพื่อลดโอกาสในการเกิดไฟป่า และปลูกฝั่งให้เยาวชนหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนตนเอง และทรัพยากรธรรมชาติภายในป่า เพื่อให้รู้จัดใช้ประโยชน์ร่วมกันกับป่า ทั้งสมุนไพร และผลไม้ป่า 

เยาวชนได้ร่วมกิจกรรมสร้างความตระหนักถึงปัญหาการบุกรุกตัดไม้ โดยได้สำรวจร่องรอยการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า เพื่อให้เกิดความหวงแหนและเป็น STRONG พิทักษ์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติที่เข็มแข็งในอนาคตต่อ

เป็นการสร้างความเสริมสร้างพลังครือข่ายที่เป็นคณะกรรมการจัดการป่าชุมชน ในพื้นที่เพิ่มความรู้เรื่องของกฎหมายป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ สามารถเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส เกี่ยวกับทุจริตในพื้นที่ป่าชุมชน

ป่าชุมชนในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด มีทั้งหมด177 แห่ง เนื้อที่ประมาณ 43,370 ไร่ จากพื้นที่ป่าสงวนประมาณ 137,289 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 31.5 ของพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งปัจจุบันสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดร้อยเอ็ด ได้ขยายเครือข่ายชมรม STRONG พิทักษ์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติได้ 2 แห่ง คือ 1.ป่าชุมชนดงทำเลดอนใหญ่ อ.สุวรรณภูมิ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,200 ไร่ 2.ป่าชุมชนบ้านน้ำคำ อ.ปทุมรัตต์ ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 900 ไร่ รวมพื้นที่ที่เครือชมรมชมรม STRONG พิทักษ์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติ กว่า 2,100 ไร่ และจะต่อยอดให้ครบทุกป่าชุมชนเพื่อสร้างเกราะป้องกันป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ ให้ครอบคลุมทั่งจังหวัด

เกร็ดความรู้...สู้ทุจริต


เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ : กรณีปัญหาการบุกรุกและการใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าไม้

ที่มา

จากข้อมูลสถิติในปี พ.ศ.2561 ประเทศไทยมีพื้นที่ที่ยังมีสภาพป่าไม้อยู่ทั้งสิ้น 102,212,434.37 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 31.68 ของพื้นที่ประเทศ ในขณะที่ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี  นโยบายป่าไม้แห่งชาติ (เมื่อปี พ.ศ.2562) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 กำหนดเป้าหมายให้มีพื้นที่ป่าไม้ในประเทศ ทั้งป่าอนุรักษ์และป่าเพื่อเศรษฐกิจไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดปัญหา และความเสี่ยงต่อการทุจริตเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐโดยมิชอบ กรณีปัญหาการบุกรุกและการใช้ประโยชน์ในที่ดินป่าไม้ ได้แก่ ปัญหานโยบายเพื่อการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในเขตที่ดินป่าไม้ ปัญหาการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ ปัญหาด้านการป้องกันและปราบปรามการบุกรุกที่ดินป่าไม้ ปัญหาด้านการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ที่ดินป่าไม้และปัญหาการขาดความโปร่งใสในการตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นต้น

ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้ที่ดินป่าไม้และที่ดินของรัฐถูกบุกรุกและใช้ประโยชน์โดยมิชอบมากขึ้น เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งเป็นความเสี่ยงต่อการเปิดช่องและเอื้อประโยชน์ให้นายทุนใช้ช่องว่างในการบุกรุกที่ดินของรัฐ โดยอาจมีเจ้าหน้าที่ของรัฐให้การสนับสนุน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีเจตนาแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบร่วมกันทุจริต

ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะที่สำคัญ คือ

1. คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ควรบูรณาการหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง จัดทำระบบฐานข้อมูลกลางเพื่อการบริหารจัดการที่ดิน ประกอบด้วย ข้อมูลการถือครองที่ดินและทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐในภาพรวมทั้งประเทศ ทั้งกรณีที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิ และข้อมูลการยื่นคำร้องขอเข้าทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐทุกประเภท รวมทั้งให้มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณชนด้วย

2. สนับสนุนและเร่งรัดการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสำฤทธิผล สามารถบูรณาการแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐให้ชัดเจนและไม่ทับซ้อนกัน และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) กำหนดแผนการดำเนินงาน และกรอบระยะเวลาการดำเนินการที่แล้วเสร็จ

3. เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ในการดูแลรักษาที่ดินของรัฐทุกประเภท ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนในการบริหารจัดการที่ดินของรัฐทั้งระบบ ให้สอดคล้องกับบริบทของสังคม และสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป มีการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับการครอบครองหรือใช้ประโยชน์ที่ดินของรัฐอย่างมีส่วนร่วม

4. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาตให้มีความชัดเจน เพื่อลดปัญหาการใช้ดุลยพินิจของหน้าที่รัฐในการพิจารณา เช่น กรณีการกำหนดคำนิยามคำว่า “ไม่เป็นพื้นที่ป่าที่มีสภาพป่าไม่สมบูรณ์” ตามกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตทำประโยชน์ในเขต พ.ศ. 2558 ให้มีความชัดเจน

แท็กที่เกี่ยวข้อง:

-