บทวิเคราะห์ : เหตุเกิดบนเวทีดีเบตโคราช-พัทยา

การเมือง
12 เม.ย. 66
14:44
978
Logo Thai PBS
บทวิเคราะห์ : เหตุเกิดบนเวทีดีเบตโคราช-พัทยา
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
เวทีดีเบต หรือแสดงวิสัยทัศน์ของตัวแทนพรรคการเมือง ที่ช่วงนี้จัดกันถี่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มองในเชิงบวกเป็นเรื่องที่ดี ที่ประชาชนจะได้รับรู้แนวทาง หรือจุดยืนในแต่ละเรื่องของพรรคการเมืองแต่ละพรรค

ว่าเป็นอย่างไร ทั้งยังถือเป็นสัญญาประชาคมที่พรรคการเมืองนั้น ๆ ยืนยันกับประชาชนผ่านตัวแทนของพรรคที่ไปร่วมเวที

ถือเป็นการสื่อสารแบบทูเวย์ ไม่ใช่นักการเมืองพูดแต่เพียงฝ่ายเดียว เหมือนบนเวทีหาเสียง แต่ยังมีการซักถามจากผู้ดำเนินรายการ และบางเวทียังเปิดให้ประชาชนสามารถตั้งคำถามได้

เวทีดีเบต หรือเวทีแสดงวิสัยทัศน์ของตัวแทนพรรคการเมือง มองในเชิงบวกเป็นเรื่องที่ดี ด้วยประชาชนจะได้รับรู้แนวทางหรือนโยบายในแต่ละเรื่องของแต่ละพรรคการเมืองว่าเป็นอย่างไร และถือเป็นสัญญาประชาคมที่ยืนยันกับประชาชนผ่านตัวแทนของพรรคที่ไปร่วมเวที

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็สุ่มเสี่ยงต่อการเป็นเวทีถกเถียงกันหน้าดำคร่ำเคร่ง จากตัวแทนนักการเมืองที่เข้าร่วม เพียงหวังให้ประชาชนคิดหรือเชื่อแบบที่ตนคิด และต้องหักล้างคนอื่นที่ร่วมเวทีดีเบต โดยเฉพาะพรรคการเมืองและนักการเมืองที่เป็นคู่แข่ง

เมื่อปะทะฝีปากขึ้น ได้นำไปสู่ปฏิกิริยาและการตอบโต้แบบไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว หรือคนอื่นจะคิดอย่างไร เพราะสิ่งที่แบกอยู่บนบ่าและนำติดตัวมาด้วยคือการเป็นตัวแทนของพรรค

เรื่องปะทะคารมถึงขั้นลุกขึ้นเผชิญหน้า กระชากแขนใส่กันของ นายเสกสกล อัตถาวงษ์ แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ ภาคอีสาน และเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคหมาดๆ ที่เวทีดีเบต จ.นครราชสีมา ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ต่อหน้าย่าโมที่คนโคราชเคารพศรัทธา เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างล่าสุด ที่เกิดขึ้นจากเวทีดีเบต โดยมีกองเชียร์กับกองแช่งคอยปลุกเร้าให้กำลังใจ

ยิ่งเป็นการตอบโต้เรื่องการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจ ที่ถกเถียงกันมานานว่า ใครผิดใครถูก ใครเป็นต้นตอต้นเหตุ ใครอยู่เบื้องหลัง หรือเหตุต้องรัฐประหาร ยิ่งหาข้อสรุปหรือความเห็นที่ตรงกันได้ยาก

เพราะต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนต่างกันอยู่แล้ว ฝ่ายหนึ่งมาในนามของคณะผู้ก่อการกลายๆ ขณะที่อีกฝ่าย ต้องตอบโต้กรณีถูกกล่าวหาว่า มวลชนเสื้อแดงถูกหลอกให้ออกมาชุมนุมประท้วง เรื่องนี้ พูดกันเมื่อไหร่ วงแตกเมื่อนั้น

ทั้งสองยังมีเรื่องหมั่นไส้ เหม็นหน้ากันอยู่ในทีมาก่อนหน้านี้แล้ว นายเสกสกล และนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ล้วนเคยเป็น ส.ส. นครราชสีมา สังกัดพรรคไทยรักไทย ทั้งคู่ ตั้งแต่ปี 2544 ถือเป็นส.ส.หน้าใหม่สมัยแรกทั้งคู่

ก่อนที่ในเวลาต่อมา นายเสกสกลซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ด้วย จะโดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จากกรณีคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อพ้นโทษได้กลับคืนพรรคเพื่อไทย ก่อนจะย้ายข้ามขั้วไปพรรคพลังประชารัฐ ก่อการเลือกตั้งปี 2562

ขณะที่นายประเสริฐ ยังเหนียวแน่นกับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และต่อเนื่องถึงพรรคเพื่อไทย ได้เป็นเลขาธิการพรรคปี 2561 เลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทย ยังได้ “กำนันป้อ” นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล เสี่ยแป้งมันพันล้าน บริษัทเอี่ยมเฮง อดีตรัฐมนตรีช่วย 2 กระทรวงมาจากพรรคภูมิใจไทย เสริมความแกร่งให้

ขณะที่ “กำนันป้อ” ก็ถือเป็นคู่ฟัดเก่าในพื้นที่ อ.เสิงสาง อ.ครบุรี ของนายเสกสกล ที่เคยพึ่งพาอาศัยกันมาก่อน ตั้งแต่นายเสกสกลยังใช้ชื่อเดิม นายสุภรณ์ อัตถาวงษ์ ลงสมัคร ส.ส.

ต่อมาเมื่อ “เสี่ยป้อ” ส่งทายาทลงสมัคร ส.ส.เอง และตัวเขาผันตัวเข้าเวทีการเมืองเต็มตัว จึงกลายเป็นคู่แข่งในสนามเลือกตั้งโดยปริยาย

ก่อนเลือกตั้งปี 2562 นายเสกสกลเคยไปร้องกกต.นครราชสีมา กล่าวหาว่า ที่ผู้สมัครส.ส.จากพรรคคู่แข่ง ใช้ อสม.ไล่กว้านหาบัตรประชาชนจากคนในพื้นที่ อ้างจะทำบัตรคนจนที่ตกหล่นให้ จนกลายเป็นข่าวฮือฮาบนหน้าสื่อขณะนั้น แม้นายเสกสกลจะไม่ระบุชื่อชัดเจน แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าหมายถึงใคร พรรคไหน

พรรคเพื่อไทยจึงเป็นคู่แข่งในสนามเลือกตั้งนครราชสีมา ในฐานะ “เต็งจ๋า” จะได้เป็น “แชมป์” ครองส.ส.มากกว่าพรรคอื่น ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ นายเสกสกลเคยจัดเวทีปราศรัยใหญ่ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นไปปราศรัย เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดยอ้างคนจะไปร่วมฟัง รวมทั้งจัดเตรียมเก้าอี้นั่งไว้ 5 หมื่นที่นั่ง แต่ถึงเวลาจริง ไม่ปังอย่างที่คุยไว้

ส่วนเวทีดีเบต ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 8 เม.ย.2566 ก็มีรายการเดือดเกิดขึ้น เมื่อนายสุชาติ ชมกลิ่น ตัวแทนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกขึ้นพยายามตอบโต้และชี้นิ้วใส่หน้านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะตัวแทนพรรคก้าวไกล

กรณีพูดพาดพิงการรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำลายความเป็นเป็นประชาธิปไตยในประเทศไทย และอ้างว่า มีนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่ฝักใฝ่รับใช้เผด็จการ

จนนายสุชาติ ต้องตะโกนสวน ถามว่า “วันนี้ไม่มีประชาธิปไตยตรงไหน” จนสร้างเสียงฮือฮาให้กับกองเชียร์ของทั้งสองฝ่าย โชคดีที่ผู้จัดงานอ้างว่าหมดเวลาดีเบตเสียก่อน จึงไม่ลุกลามบานปลายมากกว่านั้น

แต่กรณีนี้ก็ชัดเจนว่า เพราะนโยบายพรรคก้าวไกลกับพรรครวมไทยสร้างชาติ สวนทางกันตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปและลดขนาดกองทัพ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ขณะที่พรรคที่ชู “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ ถูกด้อยค่าจากพรรคก้าวไกลว่าเป็นพรรคทหารจำแลง

2 เหตุการณ์บนเวทีดีเบต สะท้อนนัยทางการเมืองคนละขั้วคนละข้าง ชนิดผสมหรือยอมกันไม่ได้ โอกาสจะจับมือร่วมกันทางการเมืองลำบาก ชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ เถียงกันยังไม่จบไม่สิ้น เมื่อนักการเมืองยังเถียงกันไม่จบ แล้วจะให้ประชาชนก้าวพ้นความขัดแย้งกันได้อย่างไร

ขอบคุณภาพข่าว : NATION.TV

วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา

 

อ่านข่าวอื่นๆ

“เศรษฐา” ยันพร้อมแจง “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ทุกวัน เชื่อถูกพูดถึงเพราะโดนใจ

"จ.ส.ท." ยันไม่ได้แฮกข้อมูลคนไทย 55 ล้านชื่อ แต่ซื้อมาจากดาร์กเว็บ

ผงะ "อาอี"แฝงซองเครื่องดื่มเกลือแร่-คอลลาเจนขายผ่านโซเชียล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง