“ศาลรัฐธรรมนูญ” กับข้อกล่าวหา “พิธาและก้าวไกล”

การเมือง
15 พ.ย. 66
14:22
1,365
Logo Thai PBS
“ศาลรัฐธรรมนูญ” กับข้อกล่าวหา “พิธาและก้าวไกล”
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ทุกวันพุธ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีนัดประชุมพิจารณาเรื่องและคดีต่าง ๆ เป็นประจำอยู่แล้ว แต่วันพุธที่ 15 พ.ย.2566 เพิ่มความน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะมีเรื่องคดีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถึง 2 คดีซ้อนๆ

และเป็นคดีที่จะมีผลต่ออนาคตทางการเมืองของเขาโดยตรง คือปมถือหุ้นไอทีวี และคดีแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112

คดีถือหุ้นไอทีวี ประเด็นร้อนถูกตอกย้ำจากนายนิกม์ แสงศิรินาวิน อดีตผู้สมัคร สส.อนาคตใหม่ และผู้สมัคร สส.ภูมิใจไทย เปิดปมปริศนา มีหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่งถือหุ้นบริษัทไอทีวี เข้าข่ายถือครองหุ้นสื่อ

นำไปสู่การถกเถียงอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา ไอทีวีถือว่ายังเป็นสื่ออยู่หรือไม่ ในเมื่อบริษัทยังอยู่ แต่การทำหน้าที่สื่อรายงานข่าวตั้งแต่เมื่อครั้งใช้ชื่อไอทีวี ไม่ได้มีอยู่แล้ว จึงถูกมองเป็นเรื่องทางการเมือง จากฝ่ายที่ต้องการสกัดกั้นนายพิธา และพรรคก้าวไกล ซึ่งจะเป็นการซ้ำรอยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อครั้งเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และถูกร้องเรื่องถือครองหุ้นสื่อ คือบริษัทวีลัคมีเดีย

ก้าวต่อไปของ "ก้าวไกล" กับ 2 คำร้อง หุ้น iTV - ม.112

แม้ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกได้ 4 หน้า แต่สำคัญสุดคือ หากถือหุ้นไอทีวีจริง และไอทีวียังเป็นสื่ออยู่ นายพิธาต้องพ้นจากการเป็น สส.นับตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้อง แต่หากออกหน้าอื่น ๆ นายพิธารอดหมด

ส่วนอีกคดี กรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความ ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรงให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ว่าการกระทำของนายพิธา ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 2

กรณีเสนอร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงใช้อยู่ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่

แต่ทั้ง 2 คดี จะยังไม่มีการวินิจฉัยตัดสิน แต่เป็นการนัดประชุมเพื่อวางแนวทางและหลักเกณฑ์ของการพิจารณาคดีหรืออาจเพิ่มการไต่สวนบุคคลหรือพยานเพิ่มเติมจากเอกสารและข้อมูลที่ศาลรัฐธรรมนูญได้รับก่อนหน้านี้ หากเห็นว่ายังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพราะมีข่าวผู้ถูกร้อง มียื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีระบุพยานบุคคลเพิ่มเติม

แต่วงในยืนยันว่า การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 2 คดีนี้ จะไม่ยืดเยื้อ หากไม่มีปัจจัยหรืออุปสรรคอื่นมาแทรกแซง ไทม์ไลน์เบื้องต้นเชื่อว่า จะเสร็จสิ้นก่อนสิ้นปี 2566 ด้วยซ้ำ

หรือหากล่าช้าออกไป น่าจะเป็นช่วงเดือนมกราคม 2567 โดยเฉพาะคดีถือหุ้นไอทีวี โดยมีแนวโน้มความเป็นไปได้ ที่นายพิธาอาจพ้นจากข้อร้องเรียน เนื่องจากส่วนใหญ่เห็นว่าไอทีวีไม่ได้ทำกิจการสื่อ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2550 แล้ว

แต่สำหรับคดี มาตรา 112 อาจแตกต่างออกไป แม้อยากให้เร็ว แต่อาจยืดเยื้อไปถึงเดือนมีนาคม หรือต้นเดือนเมษายน 2567 ก็เป็นได้ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของนายพิธาและพรรคก้าวไกล เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 49 วรรคหนึ่งจริง เรื่องจะไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลผูกพันต่อทุกองค์กร และกกต.หรือคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องดำเนินการต่อ

คดีแก้ไขมาตรา 112 จึงถือเป็นเพียงสารตั้งต้น ที่จะสู่การดำเนินคดีอาญา ยุบพรรคก้าวไกล และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ส่วนจะกี่ปีขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ

แนวโน้มคดีนี้ ยังส่อเค้าว่าทั้งนายพิธาและพรรคก้าวไกล ต้องลุ้นกันจนเหนื่อย ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

อ่านข่าวอื่นๆ

 จับตา! นายกรัฐมนตรี แถลงใหญ่ปลาย พ.ย. แก้หนี้ทั้งระบบ

ชวนคนไทยออม ชงตั้งกองทุน TESG คลังเสนอ ครม.21พ.ย.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง