วันนี้ (14 พ.ค.2568) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงประเด็นร้อนในวงการการเมือง โดยเริ่มจากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม หยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะส่วนที่กำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยกล่าวอย่างชัดเจนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของตน เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร แสดงจุดยืนว่าในฐานะประธานรัฐสภา จะไม่เข้าไปก้าวก่ายการทำงานของฝ่ายบริหาร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ในฐานะที่มาจากพรรคเดียวกัน (พรรคประชาชาติ) มีมุมมองอย่างไรต่อกรณีของ พ.ต.อ.ทวี นายวันนอร์ตอบว่ายังไม่ได้เจอกัน ยังไม่ได้คุยกัน แต่ย้ำว่าทุกอย่างต้องโปร่งใส ดีเอสไอต้องโปร่งใส คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ต้องโปร่งใส ประชาชนต้องตรวจสอบได้ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการรักษาความโปร่งใสในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แม้จะไม่แสดงความเห็นโดยตรงต่อกรณีของ พ.ต.อ.ทวี
ด้านความโปร่งใสของวุฒิสภา ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับกรณีนี้ นายวันนอร์เลือกที่จะไม่ตอบคำถาม โดยระบุว่า "จะเข้าประชุมแล้ว" ก่อนเดินออกจากวงสัมภาษณ์ทันที
งบฯ 69 ยังไม่เคาะวัน-ขัดแย้งในสภาเป็นเรื่องปกติ
ในวันเดียวกัน นายวันนอร์ยังให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 โดยระบุว่ายังไม่มีการกำหนดวันพิจารณาที่แน่นอน โดยระบุว่าจากที่คุยกันคร่าว ๆ ยังไม่ชัดเจนว่าจะเริ่มวันไหน พร้อมอธิบายว่า นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นผู้ประสานงานระหว่างตัวแทนคณะรัฐมนตรี วิปรัฐบาล และวิปฝ่ายค้าน เพื่อกำหนดวาระและระยะเวลาการประชุม คาดว่าการประชุมอาจเริ่มวันที่ 28 พ.ค. และอาจสิ้นสุดวันที่ 30 หรือ 31 พ.ค.2568 แต่ยังไม่มีความชัดเจน เพราะสำนักงบประมาณยังไม่ได้ส่งรูปเล่มงบประมาณมา
นายวันนอร์กล่าวถึงวิธีการจัดสรรเวลาว่า แต่ละฝ่ายต้องตกลงกันว่าใครจะใช้เวลาเท่าไร ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำหนดเวลาเอง จะมีปัญหาว่าใช้มากไปหรือน้อยไป โดยนายพิเชษฐ์จะดูแลรายละเอียดเพื่อให้ทุกฝ่ายพอใจ ย้ำว่าความขัดแย้งในสภาเป็นเรื่องปกติ
สภาเป็นที่ถกเถียงกันเรื่องกฎหมาย งบประมาณ และการบริหารงาน ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา
ส่วนกระแสข่าวว่าพรรคร่วมรัฐบาลอาจมีความขัดแย้งถึงขั้นคว่ำร่างงบประมาณ นายวันนอร์ระบุว่า "ไม่ทราบ" แต่สั่งการให้เตรียมพร้อมสำหรับการพิจารณา และมองว่าทุกอย่างจะราบรื่น
เมื่อถูกถามถึงความกังวลว่างบประมาณอาจถูกคว่ำจนนำไปสู่การยุบสภา นายวันนอร์ตอบอย่างมั่นใจว่า ตนผ่านอะไรมาเยอะแล้ว ไม่น่ามีปัญหา อธิบายว่างบประมาณเป็นเรื่องสำคัญต่อผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน ถ้าไม่มีงบประมาณ การบริหารงานจะเดินหน้าไม่ได้ คาดว่าการถกเถียงจะเน้นเรื่องการตัดหรือปรับปรุงงบมากกว่าการคว่ำทั้งฉบับ และวงเงินสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการวิสามัญที่มีทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านพิจารณา
นายวันนอร์ยังพูดถึงงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสภา เช่น การก่อสร้างหรือปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก โดยระบุว่าสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทำคำของบไปตามความจำเป็น เมื่อส่งคำขอแล้ว จะมีการพิจารณาเบื้องต้นโดยสำนักงบประมาณ และเมื่อเข้าไปในรูปเล่มงบประมาณ คณะกรรมาธิการวิสามัญ 72 คน จะตรวจสอบอีกครั้ง ถ้าไม่จำเป็นก็ตัดออก ถ้ามากไปก็ปรับให้เหมาะสม และย้ำว่ากระบวนการต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ สภาเป็นสถาบันนิติบัญญัติ ต้องออกกฎเกณฑ์และตรวจสอบได้ดีกว่าที่อื่น
สำหรับคำถามเกี่ยวกับงบประมาณที่ใช้ปรับปรุงสภา เช่น ห้องสมุดที่ใช้งบหลายร้อยล้าน หรือห้องประชุมที่ยังขาดอุปกรณ์ นายวันนอร์ชี้แจงว่า ตอนนี้ยังเป็นแค่คำขอ แบบยังไม่เสร็จ และอาจต้องมีการทำประชาพิจารณ์เพื่อให้ สส. และผู้เกี่ยวข้องตรวจสอบความเหมาะสม พร้อมยกตัวอย่างห้องประชุมขนาด 1,500 คนที่สร้างมา 6 ปี แต่ไม่มีโต๊ะ เก้าอี้ หรือเครื่องเสียง ทำให้ใช้งานไม่ได้จริง ประธานสภายังกล่าวถึงศาลาแก้วในบริเวณสภาที่ไม่ได้ใช้งาน และอาจต้องปรับปรุงให้เหมาะสมกับการติดตั้งอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 รวมถึงใช้ในพิธีสำคัญ
นายวันนอร์ย้ำว่า การปรับปรุงต้องคำนึงถึงประโยชน์และความเหมาะสม โดยให้หน่วยงานอย่างกรมโยธาธิการและกรมศิลปากรเข้ามาดูแล ทุกอย่างต้องโปร่งใส ใช้ประโยชน์ได้ และสมศักดิ์ศรีสถาบันนิติบัญญัติ และยังกล่าวถึงห้องสมุดสภาที่ตั้งอยู่ชั้น 9 ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาการบำรุงรักษา และมีผู้ใช้ไม่มาก โดยระบุต้องทำให้เป็นห้องสมุดเชิงวิชาการเหมือนห้องสมุดแห่งชาติ หรือห้องสมุดสภาคองเกรส เพื่อให้ประชาชน นิสิต นักศึกษา ใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ยืนยันว่างบประมาณทุกบาทต้องมีเหตุผล ไม่สิ้นเปลือง และหากพบปัญหาจะดำเนินคดีได้ โดยมีกลไกตรวจสอบจาก ป.ป.ช. และคณะกรรมาธิการของสภา
อ่านข่าวอื่น :
คว่ำงบ 69 แค่มโนเป็นจริงยาก การเมืองส่อตันลุ้นออกหน้าไหน
รู้จัก "G-Token" พันธบัตรดิจิทัล ครม.เปิดโอกาสคนไทยร่วมลงทุน