ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

รู้เท่าทันปฏิชีวนะ ใช้ถูกชีวิตปลอดภัย ใช้มากไป "เชื้อดื้อยา" มาเยือน

ไลฟ์สไตล์
21 พ.ค. 68
08:09
141
Logo Thai PBS
รู้เท่าทันปฏิชีวนะ ใช้ถูกชีวิตปลอดภัย ใช้มากไป "เชื้อดื้อยา" มาเยือน
อ่านให้ฟัง
09:31อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ปัญหา "เชื้อดื้อยา" กำลังเป็นวิกฤตสุขภาพระดับโลก ในไทยพบผู้เสียชีวิตจากเชื้อดื้อยากว่า 38,000 คน/ปี สาเหตุหลักมาจากการใช้ยาปฏิชีวนะไม่ถูกต้องและความสับสนระหว่างยาปฏิชีวนะกับยาแก้อักเสบ ชวนเจาะลึกสาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางแก้ไข เพื่อการใช้ยาอย่างปลอดภัย

เชื้อดื้อยา หรือ Antimicrobial Resistance (AMR) คือ ภาวะที่เชื้อแบคทีเรียพัฒนาความสามารถในการต้านทานยาปฏิชีวนะ ทำให้ยาที่เคยรักษาได้ผลกลายเป็นไร้ประสิทธิภาพ เช่น เชื้อที่ก่อโรคปอดบวมหรือติดเชื้อในกระแสเลือดอาจไม่ตอบสนองต่อยามาตรฐาน ส่งผลให้การรักษายากขึ้นหรือรักษาไม่ได้เลย องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ปัญหานี้เป็นภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่ร้ายแรงที่สุดในศตวรรษที่ 21 โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2593 เชื้อดื้อยาอาจคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกถึง 10 ล้านคน/ปี

ผลกระทบของ "เชื้อดื้อยา" ไม่ได้จำกัดแค่ด้านสุขภาพ แต่ยังกระทบเศรษฐกิจและสังคม การรักษาที่ล้มเหลวทำให้ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น ต้องใช้ยาที่แพงกว่า และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยเผยว่า ในประเทศไทย เชื้อดื้อยาทำให้เกิดค่าใช้จ่ายด้านการรักษามากกว่า 120,000 ล้านบาท/ปี และคร่าชีวิตผู้คนมากกว่าอุบัติเหตุทางถนนถึง 2 เท่า การแพร่กระจายของเชื้อดื้อยายังเกิดได้ง่ายผ่านการสัมผัส การเดินทาง หรือน้ำเสียจากโรงพยาบาล ทำให้ทุกคนมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะอยู่ในชุมชนหรือสถานพยาบาล

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ต้นตอปัญหาใช้ "ยาปฏิชีวนะ" ผิดวิธี 

การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่เหมาะสมเป็นสาเหตุหลักของเชื้อดื้อยา เช่น การซื้อยามากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ การขอให้แพทย์สั่งยาโดยไม่จำเป็น หรือการหยุดยาเมื่ออาการดีขึ้นก่อนครบกำหนด

ล้วนกระตุ้นให้แบคทีเรียปรับตัวและพัฒนาความต้านทาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รายงานว่า ในประเทศไทย มีการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นถึงร้อยละ 50-60 ของกรณีทั้งหมด โดยเฉพาะในโรคที่เกิดจากไวรัส เช่น หวัดหรือท้องเสีย

การใช้ยาที่ไม่ถูกต้องยังรบกวนสมดุลของแบคทีเรียในร่างกาย โดยเฉพาะแบคทีเรียดีในลำไส้ ซึ่งช่วยย่อยอาหารและเสริมภูมิคุ้มกัน เมื่อแบคทีเรียดีถูกทำลาย แบคทีเรียดื้อยาจะเติบโตและแพร่กระจาย นอกจากนี้ การใช้ยาปฏิชีวนะในปศุสัตว์และเกษตรกรรมอย่างแพร่หลายโดยไม่ควบคุมก็ทำให้เชื้อดื้อยาแพร่สู่มนุษย์ผ่านอาหารและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุขเน้นย้ำถึงความสำคัญของการควบคุมการใช้ยาทั้งในมนุษย์และสัตว์ เพื่อลดการเกิดเชื้อดื้อยาในระยะยาว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ยาปฏิชีวนะ "ไม่ใช่ " ยาแก้อักเสบ

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย คือ การคิดว่ายาปฏิชีวนะและยาแก้อักเสบเป็นยาเดียวกัน ยาปฏิชีวนะ เช่น Amoxicillin หรือ Ciprofloxacin มีฤทธิ์ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย แต่ไม่มีผลต่ออาการอักเสบ ลดบวม หรือบรรเทาปวด ส่วนยาแก้อักเสบ เช่น Ibuprofen หรือ Diclofenac ช่วยลดการอักเสบ ลดปวด และลดบวม แต่ไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

การใช้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่ต้องการลดอักเสบจึงไร้ประโยชน์และเพิ่มความเสี่ยงเชื้อดื้อยา

ความสับสนนี้มักนำไปสู่การใช้ยาผิดวัตถุประสงค์ เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการปวด บวม หรือมีไข้ อาจขอให้แพทย์สั่งยาปฏิชีวนะโดยคิดว่าจะช่วยให้หายเร็วขึ้น สภาเภสัชกรรมระบุว่า การใช้ยาปฏิชีวนะในกรณีที่ไม่จำเป็น เช่น อาการปวดจากกล้ามเนื้ออักเสบหรือบาดเจ็บ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาในชุมชน การรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจความแตกต่างระหว่างยาทั้งสองประเภทจึงจำเป็น เพื่อลดการใช้ยาผิดประเภทและปกป้องประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะ

โรคทั่วไป เช่น หวัด ท้องเสียเฉียบพลัน หรือแผลสด มักไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งยาปฏิชีวนะไม่มีฤทธิ์รักษา
ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ตัวอย่างอาการที่ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ

กรมควบคุมโรคระบุว่ากว่าร้อยละ 80 ของโรคหวัดและเจ็บคอเกิดจากไวรัส เช่น ไรโนไวรัส หรือ อินฟลูเอนซา และสามารถหายได้เองภายใน 7-10 วันโดยการพักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ การรักษาควรเน้นบรรเทาอาการด้วยยาลดไข้ ยาละลายเสมหะ หรือสเปรย์พ่นคอ ยกเว้นกรณีที่มีสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ไข้สูงและมีหนองที่ต่อมทอนซิล ซึ่งต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์

ในกรณีท้องเสียเฉียบพลัน ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส เช่น โรตาไวรัส หรือการปนเปื้อนของอาหาร การรักษาควรเน้นชดเชยน้ำและเกลือแร่ด้วยสารละลาย ORS มักหายได้เองภายใน 1-3 วัน ยกเว้นในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีอาการรุนแรง เช่น ถ่ายเป็นมูกเลือด ซึ่งอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะภายใต้คำสั่งแพทย์

ส่วนแผลสดจากอุบัติเหตุทั่วไป หากทำความสะอาดดีด้วยน้ำเกลือและปิดแผลให้สะอาด ไม่มีสัญญาณติดเชื้อ เช่น บวมแดงหรือมีหนอง มักไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ยกเว้นแผลลึก แผลจากการถูกสัตว์กัด หรือแผลที่มีสิ่งสกปรกปนเปื้อนมาก ซึ่งอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขแนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นการรักษาที่เหมาะสม

ใช้ยาปฏิชีวนะ "อย่างถูกต้อง"

การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญในการลดปัญหาเชื้อดื้อยา ข้อปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่

  • ใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะเมื่อแพทย์หรือเภสัชกรสั่ง
  • รับประทานให้ครบตามกำหนด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้ว การหยุดยาเร็วกว่ากำหนดอาจทำให้เชื้อที่ยังหลงเหลืออยู่พัฒนาความต้านทาน
  • ไม่ซื้อยาปฏิชีวนะมากินเองหรือใช้ยาของผู้อื่น เนื่องจากการติดเชื้อแต่ละครั้งอาจต้องใช้ยาคนละชนิด
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากยา เช่น รับประทานยาให้ตรงเวลา
  • หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่อาจรบกวนการดูดซึมยา
  • แจ้งประวัติการแพ้ยาหรือภาวะสุขภาพให้แพทย์ทราบ
  • อย่าแกะแคปซูลยา เพราะยาในรูปแบบแคปซูลถูกออกแบบให้ตัวยาดูดซึมในตำแหน่งที่เหมาะสม การแกะแคปซูลอาจทำให้ยาเสียประสิทธิภาพหรือถูกทำลายก่อนออกฤทธิ์
  • อย่าเก็บยาไว้ใช้ครั้งหน้า การติดเชื้อแต่ละครั้งอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียต่างชนิดกัน การนำยาเก่ามาใช้เองอาจไม่ตรงกับเชื้อ ทำให้รักษาไม่ได้ผลและเพิ่มความเสี่ยงดื้อยา
  • หากลืมรับประทานยา ควรรับประทานทันทีที่นึกได้ แต่ไม่ควรเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่าในรอบถัดไป 
ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

สถานการณ์ปัจจุบัน การพัฒนายาปฏิชีวนะชนิดใหม่ยังเผชิญความท้าทาย ทั้งในแง่เวลาและค่าใช้จ่ายที่สูง ส่วนหนึ่งมาจาก แบคทีเรียที่พัฒนาความต้านทานได้เร็วกว่าการค้นพบยาใหม่ WHO ระบุว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนายาปฏิชีวนะใหม่เพียงไม่กี่ชนิด และยาหลายตัวก็ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัย อาจไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันกับโรค การใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบจึงเป็นทางออกที่ยั่งยืนที่สุด

กระทรวงสาธารณสุขได้ออกนโยบายควบคุมการจำหน่ายยาปฏิชีวนะในร้านยา และส่งเสริมการใช้ยาตามใบสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดการเข้าถึงยาโดยไม่จำเป็น การร่วมมือในระดับนานาชาติและการให้ความรู้อย่างต่อเนื่องจะช่วยรักษาประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะให้คงอยู่เพื่อคนรุ่นต่อไป

ปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ แก้อักเสบลดบวม คนละตัว ห้ามใช้สลับ

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ที่มา : WHO, กระทรวงสาธารณสุข, สสส., สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย

อ่านข่าวอื่น :

"แกงขี้เหล็ก" ยิ่งกิน ยิ่งอุ่น เสริมภูมิต้านทานช่วงเปลี่ยนฤดู

“สำนักพุทธฯ” ทำอะไร? ในวันที่ “ศรัทธาพระพุทธศาสนา” อ่อนไหว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง