เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2568 ปธน.ไซริล รามาโฟซา แห่งแอฟริกาใต้ เดินทางเยือนทำเนียบขาว เพื่อพบ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ หวังฟื้นสัมพันธ์ที่ย่ำแย่นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งสมัยที่ 2 โดยตั้งแต่ ม.ค.2568 ทรัมป์สั่งให้สหรัฐฯ ตัดความช่วยเหลือด้านเอดส์ ขับไล่เอกอัครราชทูตแอฟริกาใต้ อิบราฮิม ราซูล และให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่ชาวอัฟริกาเนอร์ (Afrikaners) 59 คน โดยอ้างว่าพวกเขาถูก "กดขี่" ในแอฟริกาใต้
นอกจากนั้น ทรัมป์ยังประณามกฎหมายยึดที่ดิน ที่อนุญาตให้รัฐยึดที่ดินโดยไม่จ่ายค่าชดเชยในบางกรณี เพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำจากยุคแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) ซึ่งยุติในปี 2537 และคดีที่แอฟริกาใต้ฟ้องอิสราเอลฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

รามาโฟซา ซึ่งเป็นผู้นำ African National Congress (ANC) และมีประสบการณ์เจรจายุติการแบ่งแยกสีผิวร่วมกับเนลสัน แมนเดลา นำคณะผู้แทนที่มีนักกอล์ฟชื่อดัง เออร์นี เอลส์ และ เรทีฟ กูเซน เพื่อเอาใจทรัมป์ผู้หลงใหลกอล์ฟ พร้อมรัฐมนตรีเกษตรผิวขาว จอห์น สตีนฮุยเซน เพื่อแสดงความหลากหลายในรัฐบาลผสม
ผู้นำแอฟริกาใต้ยังเสนอให้สตาร์ลิงก์ของ อีลอน มัสก์ ดำเนินงานในแอฟริกาใต้ หวังลดแรงกดดันจากมัสก์ ซึ่งเป็นชาวแอฟริกาใต้เชื้อสายอัฟริกาเนอร์ และเคยวิจารณ์รัฐบาลแอฟริกาใต้ว่ากีดกันธุรกิจของเขาเพราะเขาไม่ใช่คนผิวดำ
เป้าหมายหลักของรามาโฟซาในการเยืนทำเนียบขาวครั้งนี้ คือ รักษาสิทธิพิเศษภายใต้ African Growth and Opportunity Act (AGOA) ซึ่งแอฟริกาใต้ส่งออกเกษตรไปสหรัฐฯ 2,700 ล้านดอลลาร์ต่อปีแบบปลอดภาษี คิดเป็นร้อยละ 1 ของ GDP
แต่สมาชิกสภาสหรัฐฯ เช่น วุฒิสมาชิก มาร์โก รูบิโอ ขู่ถอนสิทธิ AGOA หากแอฟริกาใต้ไม่ยกเลิกกฎหมายยึดที่ดินหรือถอนคดี ICJ รามาโฟซายังต้องเผชิญข้อกล่าวหาจากทรัมป์และมัสก์ว่าแอฟริกาใต้มีการ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ชาวผิวขาว โดยเฉพาะเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลปฏิเสธอย่างหนักแน่น

"ห้องทำงานรูปไข่" การจัดฉากดรามาและการตอบโต้
การประชุมในห้องทำงานรูปไข่ เริ่มด้วยการพูดคุยเรื่องกอล์ฟอย่างเป็นมิตร แต่สถานการณ์พลิกผันเมื่อเจ้าหน้าที่เข็นโทรทัศน์จอใหญ่ 2 เครื่องเข้ามา ทรัมป์สั่งลดแสงไฟและฉายวิดีโอของ จูเลียส มาเลมา ผู้นำ Economic Freedom Fighters (EFF) ร้องเพลง "Kill the Boer" จากยุคต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ซึ่งทรัมป์ตีความว่าเป็นการยุยงฆ่าเกษตรกรผิวขาว
ขณะดูวิดีโอ ทรัมป์โบกกระดาษในมือพร้อมตะโกน "ความตาย ความตาย ความตายอันน่าสยดสยอง" ราวกับกำกับละครบรอดเวย์ บางคนแซวว่าทรัมป์คงอยากได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมมากกว่าตำแหน่งผู้นำโลก วิดีโอและบทความถูกโพสต์บนโซเชียลมีเดียทำเนียบขาวทันที แสดงถึงการวางแผนเพื่อใช้รามาโฟซาเป็นเครื่องมือเอาใจฐานเสียงฝ่ายขวา

รามาโฟซา ซึ่งตกใจแต่ยังคงสงบสมกับนักเจรจามือฉมัง ตอบโต้ว่า วิดีโอไม่ใช่นโยบายรัฐบาล แต่เป็นเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย เขาอ้างข้อมูลจาก South African Police Service (SAPS) ปี 2567 ว่า มีการฆาตกรรม 26,232 คดี แต่เพียง 44 คดีเกี่ยวข้องกับชุมชนเกษตร และ 8 คดีที่เหยื่อเป็นเกษตรกร ไม่มีหลักฐาน "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ตามที่ CNN และ Reuters ยืนยัน ขณะที่รัฐมนตรี เซนโซ มชูนู ระบุว่า การเชื่อมโยงการฆาตกรรมกับเชื้อชาติเป็นสมมติฐานที่ล้าสมัย
อีลอน มัสก์ ชาวแอฟริกาใต้เชื้อสายอัฟริกาเนอร์ ผู้สนับสนุนทรัมป์และเคยโพสต์บน X ว่าชาวผิวขาวถูกกดขี่ ในแอฟริกาใต้ ได้เข้าร่วมประชุมแต่ต้องยืนเงียบข้างโซฟา เพราะทรัมป์ตัดบทไม่ให้คู่หูพูดแม้แต่คำเดียว โดยบอกว่า อีลอนจากแอฟริกาใต้ ผมไม่อยากให้เขาพูด มันไม่ยุติธรรม
เมื่อห้องทำงานรูปไข่กลายเป็น "เวทีเชือด" ทางการเมือง
การประชุมระหว่างรามาโฟซา-ทรัมป์ สะท้อนรูปแบบการทูตที่ดุดันและโจ่งแจ้งของทรัมป์ในสมัยที่ 2 ซึ่งเปลี่ยนห้องทำงานรูปไข่ให้กลายเป็น "เวทีมวยปล้ำ WWE ทางการเมือง" ที่ถ่ายทอดสดเพื่อเอาใจฐานเสียง MAGA นักวิเคราะห์อย่างนีโอ เลตสวาโล จากมหาวิทยาลัยโจฮันเนสเบิร์ก เรียกการประชุมนี้ว่า "make-or-break" ที่ต้องการทักษะเจรจาระดับสูง ในขณะที่ผู้นำแอฟริกาใต้ เลือกใช้ความสงบและข้อเท็จจริง แตกต่างจากผู้นำโลกคนอื่น ๆ ที่เผชิญทรัมป์ในลักษณะเดียวกัน

- โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ในเดือน ก.พ.2568 เซเลนสกีถูกทรัมป์และ เจดี แวนซ์ โจมตีในห้องรูปไข่ว่าขาดความกตัญญูต่อความช่วยเหลือสหรัฐฯ เซเลนสกีตอบโต้ด้วยอารมณ์ ส่งผลให้เขาถูกเชิญออกจากทำเนียบขาวและต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์เพื่อฟื้นสัมพันธ์
- กษัตริย์อับดุลลาห์ แห่งจอร์แดน ทรัมป์กดดันให้จอร์แดนรับผู้ลี้ภัยจากกาซา ซึ่งอาจกระทบเสถียรภาพราชวงศ์ แต่กษัตริย์อับดุลลาห์เลือกนิ่งเงียบเพื่อรักษาความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ แม้จะดูอึดอัด
- เซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร ผู้นำเมืองผู้ดีรับมือทรัมป์ได้ดี โดยใช้จดหมายจากกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 และโต้เรื่องเสรีภาพการแสดงออกอย่างเฉียบคม ด้วยประสบการณ์จากสภาอังกฤษ
- แอมานุแอล มาครง ปธน.ฝรั่งเศส ได้แก้ไขข้อกล่าวหาของทรัมป์ เรื่องความช่วยเหลือยูเครนด้วยการสัมผัสแขนทรัมป์และชี้แจงว่า "ยุโรปจ่ายร้อยละ 60" พร้อมประสานคำชม "Dear Donald" เพื่อลดความตึงเครียด
- จอร์เจีย เมโลนี ผู้นำอิตาลี ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับทรัมป์และวลี "Make the West Great Again" เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการสนับสนุนยูเครนและการเอาใจทรัมป์
- มาร์ก คาร์นีย์ นายกฯ แคนาดา เผชิญทรัมป์ที่ข่มขู่จะผนวกแคนาดา แต่ยืนยันอธิปไตยต่อหน้ากล้องว่า "แคนาดาไม่ใช่สินค้า" แม้ทรัมป์จะพูดแทรกจนจบ
สำหรับ รามาโฟซา ผู้นำแอฟริกาใต้ เขาโดดเด่นด้วยความสงบและการยึดข้อเท็จจริง ซึ่ง คริสโตเฟอร์ อาโฟเค อิซิเค จากมหาวิทยาลัยพริทอเรีย ชี้ว่า สะท้อนความเป็นนักธุรกิจและผู้นำ ที่เข้าใจวิธีเจรจากับทรัมป์ อย่างไรก็ตาม การจัดฉากของทรัมป์เผยให้เห็นนิสัยชอบ "เล่นใหญ่" ที่บางครั้งดูเหมือนเด็กน้อยขี้โมโหมากกว่าผู้นำโลก โดยเฉพาะเมื่อเขาโบกบทความและตะโกน "ความตาย" ราวกับอยู่ในรายการเรียลลิตี้

การทูตในยุคทรัมป์ 2.0 ดูเหมือนบังคับให้ผู้นำโลกต้องเตรียมรับมือ "ห้องรูปไข่" ที่เต็มไปด้วยการจัดฉากและการถ่ายทอดสดเพื่อเอาใจฐานเสียง ผู้นำอย่างรามาโฟซา สตาร์เมอร์ และมาครง แสดงให้เห็นว่าการผสมผสานความนอบน้อมและการยืนหยัดในหลักการเป็นกุญแจสำคัญ แต่สำหรับผู้นำจากชาติที่พึ่งพาสหรัฐฯ เช่น จอร์แดนหรือยูเครน การเผชิญทรัมป์อาจหมายถึงการยอมจำนนหรือสูญเสียผลประโยชน์
ในอนาคต หากทรัมป์ยังคงใช้ห้องรูปไข่เป็น "เวทีเรียลลิตี้" อาจทำให้ผู้นำโลกปฏิเสธคำเชิญมาทำเนียบขาว และหันไปสร้างพันธมิตรกับจีนหรือกลุ่ม Global South แทน
อ่านข่าวอื่น :
Golden Dome ปะทะจีน-รัสเซีย! สหรัฐฯ ลุยโล่ป้องกันขีปนาวุธ
สหรัฐฯ รับมอบเครื่องบินหรูจากราชวงศ์กาตาร์ มูลค่า 400 ล้านดอลลาร์