วันนี้ (28 พ.ค.2568) กลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่จำนวนมากนำรถแท็กซี่มาปิดการจราจรบนถนนราชดำเนินนอก 4 เลน จนทำให้การจราจรติดขัดตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้นำบูธแกร็บออกจากทุกสนามบิน
หลังการหารือร่วมกันระหว่างกลุ่มแท็กซี่ กรมการขนส่งทางบก บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) สุรพงษ์ ปิยะโชติ รมช.คมนาคม กล่าวว่า ข้อเรียกร้องที่ให้นำบูธแกร็บออกจากสุวรรณภูมิ กรมการขนส่งทางบก ตรวจสอบกฎหมายแล้วพบว่า จุดบริการนั้นไม่ได้ขัดต่อกฎหมาย
พร้อมยืนยันว่า รถแกร็บทุกคัน จะต้องตรวจสอบคุณสมบัติก่อนในการลงทะเบียนสมัครสมาชิก โดยรถแกร็บที่ลงทะเบียนแล้ว จะเข้าในลานจอดรถ เพื่อตรวจสอบการลงทะเบียน จากนั้นเจ้าหน้าที่ ทอท. จะตรวจสอบรถ GRAB ที่วิ่งมาจุดรับผู้โดยสาร หากรถคันใดที่ยังไม่มีการจดทะเบียนเป็นรถยนต์รับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน (รย.18) จะถูกปรับตามเงื่อนไขสัญญาต่อไป
นอกจากนี้ สั่งการให้ ทอท. นำแอปฯ "SAWASEEE by AOT" มาใช้ในการบริหารจัดการรถแท็กซี่สาธารณะ ผู้โดยสารสามารถจองคิวใช้บริการล่วงหน้าได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชัน ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น คาดว่าจะสามารถใช้ได้เร็ว ๆ นี้
จากการหารือข้อสรุปน่าจะพอใจ ทอท. ขบ. ต้องดำเนินการให้แกร็บลงทะเบียน เพื่อทราบจำนวนตอนนี้ไม่รู้จำนวนรถมีเท่าไหร่ จะเอาตัวเลขมากูเพื่อบาลานซ์ระหว่างแท็กซี่และผู้โดยสาร เพราะที่ผ่านมาไม่ทีตัวเลขแท้จริง และตอนนี้ได้ให้ ทอท. ทำแบบสอบถามผู้โดยสารเกี่ยวกับรถแท็กซี่และรถผ่านแอปฯ ทั้ง 2 ระบบเพื่อเอามาปรับปรุง รมช.คมนาคมกล่าว

ด้าน น.ส.ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ รักษาการผู้อำนวยการ ทอท.กล่าวว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิถือว่าเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ซึ่งจะต้องมีการจัดการจราจรให้เป็นไปอย่างเหมาะสมกับคนทุกกลุ่ม เป็นพื้นที่เพื่อให้ผู้โดยสารได้รับประโยชน์สูงสุด
แกร็บเป็นเจ้าแรกที่เข้ามาและเป็นไปตามสัญญา ก่อนหน้านี้ รถผ่านแอปขึ้นไปรับผู้โดยสารชั้น 4 ทำให้เกิดรถติด ทอท.จึงจัดจุดรับส่งให้สะดวกมากขึ้น ยืนยันว่าไม่ได้ปิดกั้นแอปอื่นให้เข้ามาให้บริการ ล่าสุดมี แอปพลิเคชัน Bolt ได้ติดต่อขอทำสัญญากับ ทอท.โดยจะจัดจุดให้บริการให้เป็นระเบียบต่อไป
ปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิ มีการใช้บริการแท็กซี่มิเตอร์ประมาณวันละ 6,000 เที่ยว ซึ่งเป็นตัวเลขใกล้เคียงกับช่วงก่อนที่ยังไม่มีแอปฯ แกร็บ ส่วนบริการผ่านแอปฯ แกร็บ มีประมาณวันละ 5,000 เที่ยว หลังจาก ทอท.ทำสัญญาให้แกร็บเข้ามาให้บริการในสนามบินได้
ส่วนแอปฯ SAWASEEE by AOT ขณะนี้มีปัญหาการเชื่อมต่อระบบ ทำให้ไม่สามารถใช้งานเรียกแท็กซี่ได้ ซึ่ง ทอท.จะเร่งปรับปรุงเพื่อสามารถเรียกแท็กซี่ได้สะดวก รวมถึงเร่งปรับปรุงจุดให้บริการ และปรับปรุงป้าย
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า จุดที่ตั้งบูธแกร็บที่สุวรรณภูมิ ถือว่าไม่เป็นลักษณะเป็นการจัดตั้งวิน ไม่ได้ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการบริหารจัดการพื้นที่ เหมือนห้างสรรพสินค้าที่มีบริการจุดให้บริการแท็กซี่
ขณะที่ปัจจุบันมี แอปพลิเคชันเรียกรถ 11 ราย โดยขณะนี้มีการนำรถขึ้นทะเบียนและมีใบขับขี่สาธารณะถูกต้อง ประมาณ 4,000 คันเท่านั้น แต่ยังมีอีกเป็นหมื่นคันที่เป็นรถป้ายดำและไม่มีใบขับขี่สาธารณะ ซึ่งกรมขนส่งฯ ได้เร่งรัดให้ แอปฯ นำรถที่เป็นสมาชิก ไปดำเนินการให้ถูกต้อง กรณีฝ่าฝืนโทษปรับ ไม่เกิน 2,000 บาท
แต่ยอมรับว่า ยังมีการนำรถมาจดทะเบียนและทำใบขับขี่สาธารณะน้อย เพราะเป็นช่วงสุญญากาศที่รอร่างประกาศธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) บังคับใช้ ที่จะเข้ามาใช้สำหรับกำกับแอปฯ ต่าง ๆ

นายวรพล แกมขุนทด นายกสมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ เปิดเผยว่า ยังไม่พอใจ และมองว่าการที่ ทอท.ให้สิทธิ์การตั้งบูธของแกร็บ มีเพียงแกร็บที่ได้ประโยชน์ หลังจากนี้จะศึกษากฎหมายว่า เป็นการให้สัมปทาน และมีการทำสัญญาระหว่าง ทอท.กับแกร็บ หรือไม่ ส่วนหลังจากนี้ หากมีบูธของรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชันรายอื่นเพิ่มเข้ามา มองว่า อาจสร้างความไม่เท่าเทียมเพิ่มขึ้นอีก
ผมไม่ได้คิดจะบี้ให้ตาย การที่ ทอท.อนุญาตให้แกร็บมาตั้งบูธ มีทีโออาร์มีการทำสัญญาหรือไม่ ซึ่งในการประชุมไม่มีสัญญาให้ดู ข้อสรุปที่ออกมาผู้ที่ได้รับประโยชน์ คือแกร็บ แต่คนขับแท็กซี่ไม่ได้ประโยชน์อะไร การให้แกร็บตั้งบูธโดยชอบธรรม ทำให้กลุ่มแท็กซี่ไม่ได้รับความเท่าเทียม
ส่วนกรณีที่ ทอท.เสนอว่า จะทำแอปพลิเคชัน SAWASDEE by AOT ให้สามารถเรียกแท็กซี่ได้ มองว่า หากแอปพลิเคชันยังไม่สามารถใช้งานได้จริง และกฎหมายการเรียกรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชันของกระทรวงดีอีก็ยังไม่ชัดเจน คนขับแท็กซี่ก็จะไม่ได้ประโยชน์
นายวรพล ยังยืนยันว่า หลังจากนี้จะติดตามความคืบหน้าต่อไป ซึ่งในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะประชุมร่วมกัน เพื่อหาแนวทางการใช้แอปพลิเคชัน SAWASDEE by AOT เพื่อให้สามารถใช้บริการได้
อ่านข่าวอื่น :
"ณัฐพงษ์" ติงรัฐบาลจัดงบประมาณปี 69 "ไร้ทิศ-ไร้ทาง-ไร้ภาพ"