ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

เปิดไทม์ไลน์ "ทรัมป์-มัสก์" จุดแตกหักพันธมิตรสุดแกร่ง

ต่างประเทศ
12:58
353
เปิดไทม์ไลน์ "ทรัมป์-มัสก์" จุดแตกหักพันธมิตรสุดแกร่ง
อ่านให้ฟัง
09:59อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ปธน.ทรัมป์ และ อีลอน มัสก์ เปิดฉากทะเลาะวิวาทครั้งประวัติศาสตร์ ชนวนจากมัสก์ไม่เห็นด้วยต่อร่างกฎหมายงบประมาณ "บิลสุดหรู" ของทรัมป์ สู่การสาดโคลนผ่านโซเชียลมีเดีย ทั้งเรื่องแฟ้มเอปสไตน์ ชนะเลือกตั้ง ขู่ตัดสัญญารัฐ สะท้อนจุดสิ้นสุดคู่หูทรงอิทธิพลของโลก

มหากาพย์การหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และอีลอน มัสก์ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพันธมิตรทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในอเมริกา ได้ระเบิดขึ้นอย่างดุเดือด สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งวงการการเมืองและธุรกิจ นี่ไม่ใช่เพียงแค่ความเห็นต่างทางนโยบาย แต่คือการเผชิญหน้าของ 2 มหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลที่ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเป็นสนามรบ

จุดเริ่มสัมพันธ์ร้าวฉาน จากสหายรักสู่ศัตรูร้าย

อีลอน มัสก์ ไม่ได้เป็นเพียงผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของทรัมป์ เขาบริจาคกว่า 250 ล้านดอลลาร์เพื่อการหาเสียงปี 2567 แต่ยังเคยเป็นเพื่อนซี้และที่ปรึกษาพิเศษของรัฐบาล ได้รับมอบอำนาจเต็มที่ในการผลักดัน "แผนปฏิรูปประสิทธิภาพรัฐบาล" (DOGE) ซึ่งมีเป้าหมายในการปรับขนาดและขอบเขตของรัฐบาลกลาง

ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งมัสก์ลาออกจากตำแหน่งพิเศษเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า และเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อ "บิลสุดหรู" (Big, Beautiful Bill) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายในประเทศของทรัมป์

"บิลที่น่ารังเกียจ" อังคารที่ 4 มิ.ย.

ไฟแค้นปะทุขึ้นอย่างเปิดเผยเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. เมื่อมัสก์เริ่มโจมตีร่างกฎหมายงบประมาณขนาดมหึมาของทรัมป์ ซึ่งครอบคลุมเรื่องภาษี การลดค่าใช้จ่าย พลังงาน และประเด็นชายแดน เขาเรียกกฎหมายฉบับนี้อย่างเจ็บแสบว่าเป็น "ความน่ารังเกียจที่น่าขยะแขยง" (Disgusting abomination) พร้อมกับคาดการณ์ว่า ร่างฉบับนี้จะทำให้การขาดดุลงบประมาณพุ่งสูงขึ้นอย่างมหาศาลถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ และเป็นภาระหนี้สินที่กดขี่ประชาชนอเมริกันอย่างไม่อาจแบกรับได้ ข้อความนี้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้นำรีพับลิกันอย่างมาก และมัสก์ยังตอกย้ำด้วยการกล่าวว่า "น่าละอายใจสำหรับผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้ คุณรู้ว่าคุณทำผิด คุณรู้ดี!"

"ศึกสาดโคลนโซเชียล" พฤหัสบดีที่ 5 มิ.ย.

เป็นวันที่การต่อสู้ทวีความรุนแรงขึ้นราวกับพายุหมุนโซเชียล ทรัมป์เปิดฉาก ตั้งแต่ช่วงเช้า เรื่อยยาวไปถึงช่วงบ่าย ทรัมป์ยืนยันการเสื่อมถอยของความสัมพันธ์กับมัสก์ โดยกล่าวว่า "เขาผิดหวังมาก" โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มัสก์โจมตีร่างกฎหมายของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงหลายวันที่ผ่านมา และยังแสดงความเชื่อว่ามัสก์ไม่พอใจกฎหมายฉบับนี้ เพราะยกเลิกเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นผลประโยชน์สำคัญของ Tesla ทรัมป์กล่าวหามัสก์ว่า มัสก์ไม่เคยมีปัญหากับบิลนี้จนกระทั่งเขาออกจากรัฐบาลไป

ทรัมป์ยังโพสต์บน Truth Social กล่าวว่ามัสก์คลุ้มคลั่ง! (went CRAZY!) และ มัสก์มีภาวะคลุ้มคลั่งที่เกิดจากการเกลียดชังทรัมป์ (Trump Derangement Syndrome) หลังจากที่ทรัมป์ขอให้มัสก์ออกจากตำแหน่งและยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับ EV

หลังจากนั้น อีลอน มัสก์ เริ่มใช้ X ยิงข้อความสวนกลับทั้งบ่ายคล้อยไปจนค่ำ อ้างว่าทรัมป์ไม่สามารถชนะการเลือกตั้งปีที่แล้วได้หากไม่มีเขา และเสริมว่า "ช่างอกตัญญูยิ่งนัก" และระเบิดบอมบ์ลูกใหญ่ที่มัสก์ประกาศอย่างไร้หลักฐานคือ "โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ในแฟ้มเอปสไตน์" และทรัมป์คือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้บันทึกต่าง ๆ เกี่ยวกับ "เจฟฟรีย์ เอปสไตน์" นักการเงินและอาชญากรคดีเด็ก ยังไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ

แม้ CNN จะระบุว่าการมีชื่อในแฟ้มไม่ได้หมายความว่ามีความผิด แต่คำกล่าวหานี้ก็เหมือนจุดพลุลูกใหญ่กลางทำเนียบขาว มัสก์ยังท้าทายด้วยว่า "ขอให้จำโพสต์นี้ไว้สำหรับอนาคต และความจริงจะปรากฏ!"

ไฟล์เอปสไตน์ (Epstein Files) คือเอกสารและหลักฐานที่รวบรวมโดยหน่วยงานสหรัฐฯ เช่น FBI และ DOJ เกี่ยวกับคดีของ เจฟฟรีย์ เอปสไตน์ นักการเงินที่ถูกกล่าวหาว่าค้าประเวณีเด็กและล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงกว่า 250 คนในช่วงหลายปี โดนัลด์ ทรัมป์ เคยรู้จักกับเจฟฟรีย์ เอปสตีนในช่วงทศวรรษ 1990 โดยปรากฏในบันทึกการบินของเครื่องบินส่วนตัวของเอปสตีน 7 ครั้ง (2536-2540) ร่วมกับภรรยาและลูกสาว

มัสก์ยังโพสต์ผ่าน X โจมตีนโยบายภาษีของทรัมป์ โดยคาดการณ์ว่าจะทำให้เกิดภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มัสก์ยังถึงขั้นสนับสนุนแนวคิดการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี และเสนอให้แต่งตั้ง รอง ปธน. เจ.ดี.แวนซ์ ขึ้นมาแทน

มัสก์ยังตอบโต้ข้อกล่าวหาของทรัมป์เรื่องเงินอุดหนุน EV โดยบอกว่าไร้สาระ เขาพร้อมให้ยกเลิกการอุดหนุน EV/โซลาร์เซลล์ หากจะสามารถกำจัดภูเขาของความน่ารังเกียจในบิลได้ มัสก์ปฏิเสธว่าไม่เคยเห็นรายละเอียดของบิลนี้มาก่อน และเรียกว่าเป็นการโกหกอย่างชัดเจน

สำหรับประเด็นที่ทรัมป์จะยุติเงินอุดหนุนและสัญญารัฐบาลของอีลอน มัสก์ก็ตอบกลับอย่างท้าทายว่า "เอาเลย ทำให้วันนี้เป็นวันที่ดีของฉัน" (Go ahead, make my day) และยังกล่าวว่าจะเริ่มปลดประจำการยานอวกาศสำคัญลำหนึ่งด้วย มัสก์ยังคงยกระดับการต่อสู้ด้านอำนาจ โดยโพสต์ข้อความที่บอกเป็นนัยว่า สส. ควรเลือกข้างให้ดี เพราะทรัมป์เหลือเวลาในตำแหน่งประธานาธิบดี 3 ปีครึ่ง แต่เขาจะอยู่ตรงนี้ไปอีกกว่า 40 ปี เป็นการขู่ที่ชัดเจนถึงอิทธิพลระยะยาวของมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก

เสียงจากทำเนียบขาวและตลาดหุ้น

คารอลีน ลีวิตต์ เลขาธิการฝ่ายสื่อมวลชนประจำทำเนียบขาว เรียกการกล่าวอ้างของมัสก์เรื่องเอปสไตน์ว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ และเน้นย้ำว่าประธานาธิบดีมุ่งเน้นที่การผ่านกฎหมายนี้ แหล่งข่าวใกล้ชิดทำเนียบขาวยังตั้งข้อสังเกตว่าทรัมป์เคยมีความสัมพันธ์แบบเพื่อนกับเอปสไตน์มานานหลายทศวรรษโดยไม่เคยถูกกล่าวหาว่าทำผิดใด ๆ

การต่อสู้ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทันที หุ้น Tesla ดิ่งลงตลอดบ่าย ขณะที่หุ้นของ Trump Media & Technology Group ก็ร่วงลงอย่างหนักเช่นกัน

เพราะเสือ 2 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ 

การแตกหักของทรัมป์และมัสก์ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก หากมองลึกลงไปในแก่นแท้ทางอุดมการณ์ของทั้งสอง "มัสก์" เป็นนักอนุรักษนิยมที่เน้นการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลและลดหนี้สาธารณะอย่างจริงจัง แต่ในทางตรงกันข้าม แม้ "ทรัมป์" จะพูดถึงการลดค่าใช้จ่าย แต่เขาไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอันดับแรก ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงเป็นการจับคู่ที่ "ไม่น่าไว้ใจ" มาตั้งแต่ต้น

นอกจากนี้ สงครามโซเชียลมีเดีย ก็เป็นปัจจัยสำคัญ มัสก์ใช้ X ซึ่งมีผู้ใช้งานประมาณ 600 ล้านคน เป็นอาวุธร้ายกาจในการโจมตี ขณะที่ทรัมป์ใช้ Truth Social ที่มีผู้ใช้งานเพียง 6,300,000 คน การที่มัสก์โพสต์ถี่กว่า ซึ่งบางครั้งมากกว่า 100 ครั้ง/วัน ทำให้เขามีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางของเรื่องราวมากกว่า เขาถึงขนาดแคปหน้าจอโพสต์ของทรัมป์จาก Truth Social มาตอบโต้บน X 

การทะเลาะครั้งนี้สร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อพรรครีพับลิกัน ซึ่งมีเสียงข้างมากเพียงน้อยนิดในสภา มัสก์มีอิทธิพลอย่างมากในกลุ่มฐานเสียงของพรรค (ผลสำรวจปลายเดือน เม.ย. พบว่าร้อยละ 77 ของรีพับลิกันมีทัศนคติที่ดีต่อมัสก์) การที่นักวางเพลิงทางการเมือง 2 คนนี้มาขัดแย้งกันเอง ย่อมทำให้การผลักดันกฎหมายสำคัญของพรรคเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยากลำบากยิ่งขึ้น

แม้ทรัมป์จะแสดงท่าทีประนีประนอมในบางช่วง โดยกล่าวว่าเขา "ชอบอีลอนเสมอ" และมัสก์เองก็ดูเหมือนจะเปิดโอกาสให้มีการคืนดี แต่ถ้อยคำที่บาดลึกและรุนแรงที่ทั้ง 2 ฝ่ายสาดใส่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่าวถึง "แฟ้มเอปสไตน์" และการท้าทายอำนาจโดยตรง ทำให้การคืนดีดูเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง นี่คือการ "หย่าร้างที่น่าเกลียด" ซึ่งมีเดิมพันสูงสำหรับทั้ง 2 คนและพรรครีพับลิกัน

อ่านข่าวอื่น :

แก้แค้น ? รัสเซียถล่มยูเครนหนัก หลังสะพานเคิร์ชถูกโจมตี

"ทรัมป์-มัสก์" แลกหมัดผ่านโซเชียล ปะทะปมร่างกฎหมายลดภาษี