เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.2568 อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ออกแถลงการณ์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นบริเวณพื้นที่พิพาท "สามเหลี่ยมมรกต" ระบุว่าได้ติดต่อโดยตรงกับนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา เพื่อชื่นชมต่อความพยายามในการแก้ไขปัญหาชายแดนผ่านแนวทางการเจรจาและช่องทางการทูต โดยเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายดำรงท่าทีอย่างมีเหตุผล และเร่งดำเนินมาตรการลดความตึงเครียด พร้อมเดินหน้าไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างสันติและรอบด้าน
ซึ่งมาเลเซียให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับทั้ง 2 ประเทศอย่างลึกซึ้ง ขอเรียกร้องให้ประเทศไทยและกัมพูชายังคงใช้ความอดกลั้นต่อไป ลดการเผชิญหน้า ร่วมกันแสวงหาทางออกอย่างสันติ
ด้าน แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก และแอปพลิเคชัน X ระบุว่า "ขอบคุณท่านนายกฯ อันวาร์ ที่ได้โทรศัพท์มาสอบถามถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และพร้อมให้ความช่วยเหลือในการเจรจาระหว่างกัน ดิฉันได้ย้ำความมุ่งมั่นของไทยในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่แล้ว และการปกป้องอธิปไตยของไทยตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศค่ะ"

"ฮุน มาเนต" ย้ำนำ 4 พื้นที่ขึ้นศาลโลก อ้างเป็นทางออกถาวร
ด้านนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์ข้อความว่าได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายอันวาร์ และได้ยืนยันถึงจุดยืนของรัฐบาลกัมพูชา ดังนี้
- กัมพูชายึดมั่นในหลักการที่จะธำรงไว้ซึ่งสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือด้วยดีกับประเทศไทย
- การตัดสินใจของกัมพูชาในการนำประเด็นปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ(ICJ) เพื่อแสวงหาทางออกที่สันติและถาวร สำหรับการแก้ไขความขัดแย้ง มากกว่าที่จะปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อยจนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งด้วยอาวุธครั้งใหม่ได้
- กัมพูชายังสนับสนุนความร่วมมือกับไทยในการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา (ยกเว้นพื้นที่ 4 จุดดังกล่าว) ด้วยกลไกของ JBC ไทย-กัมพูชา และยังคงรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศด้วยกลไกอื่น ๆ ที่มีอยู่
ก่อนหน้านี้ "กระทรวงกลาโหมกัมพูชา" ได้โพสต์ข้อความถึงการหารือระหว่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมไทย กับ พล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา ระบุว่าทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะลดความตึงเครียด ใช้การเจรจาอย่างสันติหลีกเลี่ยงการปะทะทางทหาร
ส่วนของคำขอของฝ่ายไทย ให้กัมพูชาถอนทหารออกจากจุดที่ตั้งในพื้นที่ช่องบก ฝ่ายกัมพูชาขอปฏิเสธที่จะทำตามคำขอ อ้างเหตุผลว่าไม่สามารถถอนทหารออกจากจุดที่ตั้ง ที่กองทัพกัมพูชาประจำการมาเป็นเวลานาน และอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาได้ และยังระบุอีกว่า ตราบใดที่ฝ่ายไทยยังคงใช้แผนที่และมาตราส่วนที่แตกต่างกัน เราจะไม่สามารถหาจุดกึ่งกลางในการรักษาเสถียรภาพชายแดนได้

กัมพูชาเสริมกำลังทหาร-อาวุธหนักตรึงพื้นที่ชายแดน
รายงานข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณช่องบก พบการเคลื่อนกำลังทหาร อาวุธหนัก ของกัมพูชาเข้าพื้นที่ต่อเนื่อง เบื้องต้นมีทหารกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่เกือบช่องบก กระจายอยู่ในพื้นที่ เนิน 745 เนิน 641 และตรงพื้นที่มอมเบย์ (ศาลาตรีมุข) กว่า 12,000 นาย
มีการนำอาวุธหนักตั้งเต็มพื้นที่ชายแดนกัมพูชาพร้อมหันปลายกระบอกปืนมายังฝ่ายไทย อาทิ เครื่องยิงจรวด 4 ลำกล้องติดตั้งบนรถบรรทุก 6 ล้อ จรวดหลายลำกล้อง รถถังรุ่น T-55 และปืนใหญ่หลายขนาด เป็นต้น
สถานทูตจีนขอไทย-กัมพูชายับยั้งชั่งใจ พร้อมประสาน 2 ประเทศ
ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความระบุหลายวันที่ผ่านมา ชาวไทยให้ความสนใจมากต่อท่าทีของฝ่ายจีนเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยจึงขอแถลงว่า
จีนยึดมั่นในหลักการแก้ไขข้อพิพาทโดยผ่านการเจรจาและปรึกษาหารือกัน เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ไทยและกัมพูชาล้วนเป็นมิตรประเทศที่บ้านใกล้เรือนเคียงของจีน จึงหวังว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะใช้ความยับยั้งชั่งใจ ส่งเสริมการพูดคุยสื่อสารและเจรจากัน เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลงโดยเร็ว ทั้งนี้ จีนยินดีที่จะประสานกับไทยและกัมพูชา และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค
อย่างไรก็ตามแถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้ระบุถึงข้อกังวลเกี่ยวกับกรณีกองทัพเรือกัมพูชาซ้อมรบใกล้ชายแดนเกาะกูด จ.ตราด โดยมีเรือรบจีนร่วมด้วย
อ่านข่าวเพิ่ม :
ที่ประชุมเหล่าทัพ แสดงเจตนารมณ์หนุน "กองทัพบก" ปกป้องอธิปไตย