ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

นักวิชาการชี้ "อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต" สะท้อนชาตินิยมกัมพูชา

การเมือง
14:52
197
นักวิชาการชี้ "อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต" สะท้อนชาตินิยมกัมพูชา
รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช ชีว่าคำประกาศของฮุน มาเนต เรื่อง "อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต" สะท้อนแนวโน้มชาตินิยมที่เพิ่มขึ้นในกัมพูชา แม้จะสร้างความผูกพันภายในประเทศ แต่ก็อาจเพิ่มความตึงเครียดกับเพื่อนบ้าน

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการเสวนาเรื่อง "ช่องบก-ตาเมือน : ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา บนกระดานการเมืองและเวทีศาลโลก" โดยในหัวข้อ "อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต" รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช เป็นวิทยากรร่วม 

อาจารย์ สฏฐภูมิ บุญมา อาจารย์พิเศษสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวเปิดประเด็นงานเสวนา "ประเด็นข้อพิพาทชายแดน" ไม่ใช่เรื่องของแผ่นดิน แต่เป็นเรื่องการตีความประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพียงแค่การวัดจีพีเอส แต่เป็นเรื่องของการตีความความทรงจำของชาติ เป็นเรื่องของเอกสารโบราณแผ่นเดียวที่ถูกหยิบมาสร้างอำนาจต่อรองระดับโลก เป็นเรื่องของศาลโลก ที่กลายเป็นเวทีแห่งการฟ้องร้อง แต่ในอีกมุมหนึ่งอาจจะเป็นเวทีของการเจรจาในระยะยาว

ในขณะเดียวกัน ยังต้องตั้งคำถามถึงความขัดแย้งเหล่านี้ว่าใครเป็นผู้ได้ประโยชน์ แล้วส่วนใหญ่มักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือเกมการเมืองภายในหรือไม่ มีผู้ใดจุดไฟให้เกิดความเกลียดชัง หรือใช้ความขัดแย้งนี้สร้างคะแนนนิยมหรือไม่ จึงไม่อาจเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยปราศจากความเข้าใจถึงพลวัตของอำนาจ ทั้งในระดับระหว่างรัฐ และระหว่างผู้คน ในฐานะคนรุ่นใหม่ หรือในฐานะนักศึกษาในโลกที่เชื่อมโยงถึงกันระหว่างกันอย่างลึกซึ้ง ไม่สามารถพอใจกับคำอธิบายที่ว่า ใครเป็นฝ่ายผิด หรือ ใครขโมยของเราได้

แต่ต้องกล้าตั้งคำถามว่า อะไรทำให้ชาวกัมพูชาเห็นแบบนั้น ทางฝั่งไทยเราเคยฟังเรื่องของกัมพูชาหรือยัง และเราจะอยู่ร่วมอย่างไรโดยไม่ต้องกลืนกันและกัน

โพสต์ ฮุน มาเนต สื่ออะไรให้สังคม ?

รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อธิบายว่า กรณีที่ผู้นำกัมพูชา ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการอ้างสิทธิ์พื้นที่ ว่าเป็นของกัมพูชา จริง ๆ แล้วในสายตาของประชาชนกัมพูชาเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเรื่องนี้สอดคล้องกับกระแสชาตินิยมของประเทศอยู่แล้ว

ความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ปราสาทหิน ศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ คือ เคลมตั้งแต่ในระดับพื้นที่ จนไปถึงศึกชิงมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งก็จะเห็นกองเชียร์คนกัมพูชาอยู่แล้ว จริง ๆ อย่าว่าแต่ช่วง ฮุน มาเนต เลย ก่อนหน้านั้นก็มีเป็นระลอก

แม้การอ้างแบบนี้จะเป็นที่นิยมในกัมพูชา แต่ถ้ามองในมุมของประเทศไทย การใช้แนวทางเดียวกันกลับอาจไม่เหมาะสม เพราะอาจขัดกับหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ที่เน้นความอดทน การเคารพซึ่งกันและกัน และความเข้าใจระหว่างประเทศ

ถ้าไทยใช้คอนเซ็ปต์นี้แบบ ฮุน เซน ไม่น่าจะโอเคกับการรักษาสันติภาพ หรือการใช้ความอดทนอดกั้น หรือการเคารพเขาเคารพเรา

พฤติกรรมการโพสต์ทางสื่อสังคมออนไลน์ของ ฮุน มาเนต จึงอาจทำให้เกิด "แรงกระเพื่อม" หรือความตึงเครียดระหว่างประเทศได้ รศ.ดร.ดุลยภาค เสนออีกว่า ควรตักเตือนฮุน มาเนต ตักเตือนผู้นำกัมพูชา หรือประชาชนกัมพูชา ในการลดทอนการเคลมดินแดนที่เป็นชาตินิยมที่มากเกินไป

แม้แนวคิดของ ฮุน มาเนต จะไม่ใช่เรื่องแปลกในทางประวัติศาสตร์ เพราะในอดีตก็มีหลายประเทศที่เคยทำสงครามแย่งชิงดินแดนกัน แต่ในโลกปัจจุบัน วิธีการแบบนี้กลับไม่ค่อยมีใครใช้กันแล้ว โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ณ วันนี้ผมไม่เห็นรัฐใดในอุษาคเนย์ ทำในเลเวลเดียวกันกับที่กัมพูชาทำ แม้จะไม่ได้รุกรานทางทหารขนานใหญ่ แต่กัมพูชาใช้เรื่องของอัตลักษณ์เชิงอาณาเขตเหล่านี้ เปิดศึกทางวัฒนธรรม เปิดศึกกฎหมายระหว่างประเทศ และมีการยั่วยุทางทหารต่อทหารไทยในระดับต่ำและระดับกลาง คิดว่าควรถูกยับยั่งไว้บ้างในภูมิภาคนี้

กัมพูชาสู้ด้วย "ข้อพิพาทดินแดน"

ในเรื่องของปฏิกิริยาฝ่ายค้าน รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช วิเคราะห์ว่า "ฮุน เซน" ใช้การเคลื่อนไหวหลากหลายมิติที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทดินแดน โดยเฉพาะกับไทย เพื่อสร้างความรู้สึกว่าเขาเป็นผู้นำที่ปกป้องชาติ และสิ่งนี้เองทำให้ระบอบ ฮุน เซน มีเสถียรภาพและความชอบธรรมมากขึ้นในสายตาประชาชน การต่อสู้ของ ฮุน เซน ที่ส่งผลต่อความร้าวฉานกับความสัมพันธ์กับประเทศไทย หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า การทำเช่นนี้ทำให้ระบอบ ฮุน เซน แข็งแรงขึ้น เพราะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

ในขณะที่ฝ่ายค้านเดินเกมพุ่งเป้าใช้ยุทธวิธี "เคลมดินแดน" เช่นเดียวกับ ฮุน เซน เพียงแต่ไปเคลมคืนจากเวียดนามและหันมาโจมตีว่า ฮุน เซน ว่า "เคย" สนิมสนมหรือ "ทุกวันนี้" ก็มีเครือข่ายชนชั้นนำที่เชื่อมต่อกับชนชั้นนำในฮานอย เพราะในอดีตเคยเรืองอำนาจจากระบอบ เฮง สำริน ในช่วงสงครามเย็นที่ ฮุน เซน แปรพักตร์จากเขมรแดงไปอยู่กับกลุ่มได้เข้ากลุ่มเวียดนาม

ฝ่ายค้านจึงได้แต้มทางการเมือง 2 ทาง คือ

  1. ได้เสียงสนับสนุนจากคนกัมพูชาที่ต่อต้านเวียดนาม
  2. ได้โจมตีฐานอำนาจของ ฮุน เซน

แต่สิ่งที่น่าสนใจในเวลานี้หลังการปะทะที่ช่องบกคือ จะเห็นความเคลื่อนไหวของฝ่ายค้านที่เล็งเป้ามาที่ไทยเช่นเดียวกัน

มองยังไงในการยื่นสู่ศาลโลก

รศ.ดร.ดุลยภาค มองว่ามันเป็นความมั่นใจของกัมพูชา ที่เกิดจากการชนะคดีปราสาทเขาพระวิหารในอดีต แล้วเป็นการเดินกลยุทธ์ต่อยอด

สิ่งไหนที่ชนะแล้ว ให้ยื่นต่อ ให้ตีความใหม่ ให้เป็นคดีใหม่ บนฐานเดิมที่เขาชนะ เพื่อจะขยายแนวอาณาเขตต่อ

รศ.ดร.ดุลยภาค อธิบายเพิ่มเติมถึงกลยุทธ์ต่อยอด คือ การใช้การต่อสู้ผลคดีที่ชนะในอดีตเป็นธงหลัก และขยายผลเพื่อเอาแนวอาณาเขตต่อเนื่อง จากในกรณีปราสาทำพระวิหารในอดีต เป้าหมายสูงสุดคือการปรับอาณาเขตเพิ่มของกัมพูชา ทั้ง 2 ขา 

  1. ยุทธศาสตร์ทางบก
  2. ยุทธศาสตร์ทางทะเล

กัมพูชาในสมัย ฮุน มาเนต มีแรงบันดาลใจที่อยากจะให้กัมพูชาซึ่งเป็นรัฐขนาดเล็ก เป็นรัฐที่มีอำนาจมากขึ้น หนึ่งในนั้นก็ คือ การต่อสู้ในเรื่องของอัตลักษณ์เชิงอาณาเขต ซึ่งย้อนกลับไปสู่สิ่งที่เขาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวนั่นเอง รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช กล่าวทิ้งท้าย

เรียบเรียง : ศศิมาภรณ์ สุขประสิทธิ์ นักศึกษาฝึกงาน โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อ่านข่าวเพิ่ม : 

ปราสาทชายแดนร้อน! กัมพูชาอ้างสิทธิ์ 3 โบราณสถาน 1 พื้นที่ฝั่งไทย

ป่วยโควิดเพิ่ม 14,716 คน เสียชีวิต 9 คน มากสุด "กทม.-ชลบุรี"