เพราะไม่ได้เป็น สส. แต่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคสามัคคีธรรม ที่มีนายณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นหัวหน้าพรรค ให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนใหม่ ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นตามมาทันทีทันใด คือกระแสต่อต้านจากประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายค้านบางพรรค เพราะเป็นการสืบทอดอำนาจจาก รสช. หรือคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ที่มี พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ เป็นหัวหน้า รสช.
นำไปสู่การชุมนุมประท้วง เริ่มต้นตั้งแต่งหน้ารัฐสภาต่อเนื่องลานพระบรมรูปทรงม้า ท้องสนามหลวง และถนนราชดำเนิน ก่อเกิดสมาพันธ์ประชาธิปไตย ที่มีแกนนำจากมวลชนหลายกลุ่ม นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เรียกร้องให้ “บิ๊กสุ” ลาออกจากนายกฯ
แต่รัฐบาล พล.อ.สุจินดา กลับใช้กำลังทหารและตำรวจหลายพันคน พร้อมรถถังและรถหุ้มเกราะ เข้าสลายการชุมนุม บริเวณสะพานผ่านฟ้าและใกล้เคียง ในคืนวันที่ 17 พ.ค. โดยใช้กระสุนจริง ทำให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหายเป็นจำนวนมาก
วันที่ 18 พ.ค. พล.ต.จำลอง ผู้นำการชุมนุมถูกจับกุม แต่ผู้ประท้วงยังคงพยายามรวมตัว ขณะที่กำลังทหารยังปราบปรามต่อเนื่อง วันที่ 20 พ.ค. “เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ” สงบลงได้ด้วยพระบารมี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรีและรัฐบุรุษ นำ พล.อ.สุจินดา นายกรัฐมนตรี และพล.ต.จำลอง เข้าเฝ้าฯ รับพระราชกระแสรับสั่งพร้อมกัน ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังเลวร้าย
4 วันถัดมา วันที่ 24 พ.ค.2535 พล.อ.สุจินดา ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกฯ โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธ์ รักษาการในตำแหน่งนายกฯ กระทั่งวันที่ 10 มิถุนายน มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี
เป็นจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญของการปฏิรูปการเมืองของไทย กำหนดให้นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการยกร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 โดย สสร. หรือสภาร่างรัฐธรรมนูญ จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสนอต่อรัฐสภา เปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นทั่วประเทศ ทำให้หลายจังหวัด มีประชาชนไปยืนรอต่อแถวเพื่อแสดงความเห็น
รัฐธรรมนูญ ปี 2540 ยังเปิดทางให้ผู้มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่สามารถจะสู้กับนักเลือกตั้งอาชีพในสนามเลือกตั้งแบบเขตได้ แต่มีโอกาสได้เป็น สส.ในระบบบัญชีรายชื่อ เพื่อทำงานให้กับประเทศชาติ
รวมทั้งมีจัดตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ขึ้นมาทำหน้าที่รองรับการปฏิรูป อาทิ กรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต. ทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้ง แทนที่กระทรวงมหาดไทย ในอดีต คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ทำหน้าที่ดูแลป้องกันและปราบปรามการทุจริต แทน ป.ป.ป.ที่ในอดีตถูกมองว่า เป็นเพียงเสือกระดาษ เป็นต้น
แต่รัฐธรรมนูญ ปี 40 ประกาศใช้ และผ่านการเลือกตั้งเพียง 2 ครั้ง คือปี 2544 และ 2548 ประวัติศาสตร์การทำรัฐประหาร โดยนายทหารและกองทัพ ก็กลับมาฉีกรัฐธรรมนูญอีกครั้ง จากการรัฐประหาร ปี 2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ในขณะนั้น เป็นหัวหน้า คปค.
นำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ปรับเปลี่ยนกติกาว่าด้วยเรื่องเลือกตั้งจากรัฐธรรมนูญ ปี 2540 จำนวน สส.จาก 500 คน ลดเหลือ 480 คน แม้จะยังมี สส. 2 ระบบ และ สส.เขต ยังคงมี 400 คน แต่อีกระบบเปลี่ยนจากบัญชีรายชื่อ เป็นระบบสัดส่วน รวม 80 คน และเปลี่ยนกติกาการเลือกตั้ง จากระบบเขตเดียวเบอร์เดียว เป็นเขตใหญ่เรียงเบอร์
แต่การเลือกตั้ง 2554 มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เพิ่มเติม กำหนดให้มี สส. 500 คนเหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่เป็น สส.ระบบเขตเลือกตั้ง 375 คน และสส.บัญชีรายชื่อ 125 คน และกลับไปใช้กติกาเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว รวม 375 เขต
อย่างไรก็ตาม ความหวังของคนที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ต้องลงสู้ในสนามเลือกตั้งเขต แต่ไปลงระบบบัญชีรายชื่อ กลับมีอุปสรรคสำคัญ เมื่อพรรคการเมืองส่วนใหญ่ ต่างผ่องถ่าย สส.อาวุโสของพรรคจากระบบเขต ไปลงบัญชีรายชื่อ และเปิดทางให้ลูกหลานหรือตัวแทน สส.เหล่านี้ ไปลง สส.เขตแทน
ก่อนที่วัฏจักรการเมือง จะหมุนวนกลับไปสู่เหตุการณ์รัฐประหารโดยกองทัพอีกครั้ง เมื่อ 22 พ.ค.2557 โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในขณะนั้น ยึดอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งรัฐบาล คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยังสืบต่ออำนาจ โดยอาศัยรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560 เป็นตัวช่วย โดยเป็นแคนดิเดตนายกฯ จากการเสนอชื่อของพรรคการเมือง ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ได้ระบุให้นายกฯต้องเป็น สส. อีกครั้งหนึ่ง
พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นนายกฯ จากแคนดิเดตพรรคพลังประชารัฐ หลังการเลือกตั้งปี 2562 แม้จะไม่ใช่พรรคการเมืองที่มี สส.มากเป็นอันดับหนึ่ง โดยอ้างไม่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เป็นพรรคที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากของ สส.ไว้ได้
แม้จะยังคง สส. 2 ระบบรวม 500 คนไว้ตามเดิม แต่เป็นระบบเขต 350 คน และระบบบัญชีรายชื่อ 150 คน พร้อมเปลี่ยนแปลงบัตรเลือกตั้งจาก 2 ใบ เหลือใบเดียว จนเกิดปัญหาวิธีคิดคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อ ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
นอกจากนี้ ยังเกิดปรากฏการณ์ สส.งูเห่า จากพรรคการเมืองจิ๋ว เพื่อแก้ปัญหาเสียงปริ่มน้ำ และเกิดเหตุการณ์ “ผึ้งแตกรัง” เมื่อพรรคอนาคตใหม่ ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ทำให้เสียงสส.ฝ่ายรัฐบาล พ้นจากสภาพ “ปริ่มน้ำ” ได้สำเร็จ
แม้การเลือกตั้งปี 2566 จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 อีกครั้ง เปลี่ยนแปลงกติกาการเลือกตั้งใหม่อีก กลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ สส. 2 ระบบมีรวม 500 คน เป็นระบบเขต 400 คน และระบบัญชีรายชื่อ 100 คน แต่เพราะการแตกคอของ “พี่น้อง 3 ป.” ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องย้ายไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ สส.มาเป็นอันดับ 5 จึงไม่ได้ไปต่อบนเก้าอี้นายกฯ
ขณะที่พรรคก้าวไกลที่สร้างประวัติศาสตร์แลนด์สไลด์ของจริง ปาดหน้าเอาชนะพรรคเพื่อไทย แต่กลับไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ต้องตกไปเป็นฝ่ายค้านในที่สุด ปล่อยให้พรรคเพื่อไทย ที่ได้สส.มากเป็นอันดับ 2 เดินเกมพลิกกลับเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ในวันเดียวกับที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางกลับประเทศเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี พร้อมกระแสข่าววงในอ้างมี “ดีลลับ” กับกลุ่มอำนาจเก่า
33 ปีนับจาก พล.อ.สุจินดา ขึ้นเป็นนายกฯ ก่อนจะตกจากอำนาจในเวลาเพียงประมาณ 2 เดือน การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ใช่แนวทางการพัฒนาที่ควรจะดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับยังวนเวียนกลับไปกลับมา อยู่ในสภาพไม่ต่างจากเดิมมากนัก
33 ปี นับจาก พล.อ.สุจินดา ขึ้นเป็นนายกฯ ก่อนจะตกจากอำนาจในเวลาเพียงประมาณ 2 เดือน การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่ใช่แนวทางการพัฒนาที่ควรจะดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น และไม่มีอะไรตอบโจทย์ประชาชนได้เลย แต่กลับยังวนเวียนกลับไปกลับมา อยู่ในสภาพไม่ต่างจากเดิมมากนัก
แม้แต่คำถามที่ว่า จะยังมีรัฐประหารเกิดขึ้นอีกไหม ก็ยังไม่มีใครกล้าให้คำตอบ
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : "พล.อ.สุจินดา คราประยูร" นายกฯ คนที่ 19 ถึงแก่อสัญกรรมสิริอายุ 91 ปี
"ประศาสน์" นำทัพถก JBC ปมเขตแดนไทย-กัมพูชา เคลียร์ช่องบก
"กลาโหม" ตั้ง กก.สอบ "อดีตนายพล" พาชาวจีนใช้ห้องรับรองกระทรวง
แท็กที่เกี่ยวข้อง: