ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ชะตากรรม ผู้เสียภาษีไทย “ภายใต้นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม รถ EV”

เศรษฐกิจ
18:21
448
 ชะตากรรม ผู้เสียภาษีไทย “ภายใต้นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรม รถ EV”
อ่านให้ฟัง
09:14อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

บีโอไอ ประเมินกรอบการใช้งบประมาณสำหรับดำเนินนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี ประมาณ 34,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลาโครงการ 4 ปี แลกกับการสร้างอุตสาหกรรม และเม็ดเงินลงทุนใหม่ของประเทศ

วันนี้ ผู้เสียภาษีไทย อาจต้องตั้งคำถามถึงภาครัฐ ที่ประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป ขณะที่ ผู้ใช้รถและดีลเลอร์บางส่วน ได้รับความเดือดร้อน และเงินลงทุนโรงงานใหม่ อาจไม่เป็นไปตามคาดหวัง

ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ค่ายหนึ่งกำลังประสบปัญหา ทั้งจดทะเบียนป้ายขาวไม่ได้ นำรถเข้าซ่อมในศูนย์บริการของบริษัทเป็นเวลานาน ซ้ำศูนย์บริการยังทยอยปิดตัว กระทบบริการหลังการขาย

ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ทำหนังสือเรียกค่ายรถดังกล่าวเข้าให้ถ้อยคำ เกี่ยวกับสถานการณ์บริษัท จำนวนศูนย์บริการ ยอดจำหน่ายรถ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ตลอดจนแนวทางการชดเชยการขาดประโยชน์ในการใช้รถ กรณีแจ้งเคลมและต้องรออะไหล่เป็นเวลานาน

นาย ซูน เปาหลง Mr. Sun Baolong หัวหน้าสายงานธุรกิจเอเชียประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ นาย เฉิน ยินบิน Mr. Chen Yinbin รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ให้สัมภาษณ์ กับ “Autolifethailand” เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2568 ระบุว่า บริษัท Hozon Auto ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ในจีน ของ “NETA” กำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง

แต่ขณะนี้ ได้ผู้ลงทุนรายใหม่แล้ว ซึ่งเตรียมประกาศโครงสร้างบริษัทใหม่ ในช่วงกลางเดือน มิ.ย.นี้ คาดว่า การนำเข้าและกระจายอะไหล่ไปยังดีลเลอร์ต่าง ๆ ที่ทยอยคลี่คลายในเดือน ก.ค.2568 พร้อมย้ำว่า “หากเนต้าจีนอยู่ได้ เนต้าไทยก็อยู่ได้ด้วย”

ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค นายนิธิ ท้วมประถม อินฟลูเอนเซอร์สายรถยนต์ กล่าวว่า ปัญหาการขาดสภาพคล่องของบริษัทแม่ในจีนยังส่งผลกระทบต่อตัวแทนจำหน่าย หรือ ดีลเลอร์ในไทย จนบางส่วนต้องยอมทำผิดเงื่อนไขการขาย พร้อมประกาศฝากขายรถ ผ่านช่องทางอื่นๆ ในราคาต่ำกว่าราคาประกาศอย่างเป็นทางการ

ที่มา https://www.youtube.com/watch?v=NvPUupl-K0w&t=1467s

รายงานจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า กระทรวงการคลัง ได้รายงานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ หรือ บอร์ดอีวี ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รับทราบปัญหากรณีค่ายรถในโครงการรายหนึ่ง หยุดการนำเข้าชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ในประเทศ หรือ CKD ตั้งแต่เดือน ธ.ค.2567 ส่งผลให้ การผลิตรถอีวีในประเทศตามเงื่อนไขจึงมีแนวโน้มเป็นไปอย่างยากลำบาก จึงระงับการจ่ายเงินอุดหนุน งวดล่าสุดแล้ว

"การจ่ายเงินอุดหนุนของภาครัฐ เพื่อให้ผู้ประกอบการ นำเงินไปลงทุนสร้างโรงงานแบตเตอรี่, โรงงานอีวี เกิดการจ้างงานในไทย ไม่ใช่การนำเงินกลับประเทศ ไปแก้ปัญหาผลประกอบการของบริษัทแม่ จึงจำเป็นต้องระงับการจ่ายเงินอุดหนุน เพื่อป้องกันความเสียหายของภาครัฐ” แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังกล่าว

กรุงเทพฯ, 25 เมษายน 2567: บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด โดย มร. ชู กังจื้อ ผู้จัดการทั่วไป พร้อมด้วย ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต (ขณะนั้น) ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงรับสิทธิตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือ EV3.5 ระหว่าง NETA กับกรมสรรพสามิต โดยมีคณะผู้บริหารของบริษัทฯ และตัวแทนของกรมสรรพสามิตร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ห้องราชวัตร กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น กระทรวงการคลัง ทำได้เพียงติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของบริษัทอย่างใกล้ชิด แต่ยังไม่สามารถฟ้องร้อง เรียกเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม จากบริษัทดังกล่าวได้ จนกว่าจะครบกำหนดตามเงื่อนไข ในเดือน ธ.ค.นี้ โดยในการทำสัญญาความร่วมมือกับกรมสรรพสามิต บริษัท ได้วาง bank guarantee วงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักประกันให้นำเงินส่วนนี้ไปเป็นค่าปรับ หากไม่สามารถผลิตรถในประเทศได้ตามข้อตกลง

ขณะที่ นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม.พรรคประชาชน โพสต์ข้อความใน "เอ็กซ์" ระบุว่า การลงพื้นที่โรงงาน BYD จ.ระยอง เป็นครั้งที่ 2 พร้อมกับ นาย รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคง ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาล ดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ในลักษณะ “ลด-แลก-แจก-แถม” โดยให้สิทธิยกเว้นภาษีศุลกากรในการตั้งโรงงานในไทย และยกเว้นภาษีนิติบุคคล

แต่สัญญาส่งเสริมการลงทุน ระหว่างบีโอไอ กับ บีวายดี กลับไม่ได้กำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบและเครื่องจักรในประเทศ ทำให้วัตถุดิบ อุปกรณ์ เครื่องจักร ไปจนถึงการประกอบสร้างโรงงาน ทั้งผนัง พื้น ประตู สายไฟ ปลั๊กไฟ ลูกบิด ไปจนถึง ชักโครก ล้วนเป็นของนำเข้าจากจีน 100% จึงเปรียบเปรยว่า โครงการลงทุนก่อสร้างโรงงานมูลค่า 10,000 ล้านบาท แต่เม็ดเงินแทบไม่ถึงมือคนไทย เกือบเป็นโรงงานศูนย์เหรียญ

สำหรับมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าระยะแรก หรือ EV3.0 เริ่มตั้งแต่ปี 2565 โดยค่ายรถที่เข้าร่วมโครงการต้องทำข้อตกลงกับกรมสรรพสามิต จะได้รับเงินอุดหนุน จากภาครัฐสูงสุด คันละ 1.5 แสนบาท ภายใต้เงื่อนไขโดยค่ายรถสามารถนำเข้ารถประกอบสำเร็จรูปจากต่างประเทศได้ทั้งคัน แต่ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป ค่ายรถต้องสร้างโรงงาน ผลิตรถอีวี ตามรุ่นและจำนวนที่นำเข้ามา ในอัตรา 1 ต่อ 1 ในปี 2567 และ 1 ต่อ 1.5 ในปี 2568

ต่อมา เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2567 ที่ประชุมบอร์ดอีวี เห็นชอบผ่อนปรนเงื่อนไขการผลิตรถเพื่อชดเชยการนำเข้า ในอัตรา 1 ต่อ 1 ในปี 2567 และ 1 ต่อ 1.15 เท่า ภายในปี 2568 หลังประเมินสถานการณ์ตลาดอีวีในไทย กำลังเผชิญความเสี่ยงอุปทานล้นตลาด นำไปสู่การนำสงครามราคา กระทบอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งระบบ

เป็นเหตุให้รัฐบาลต้องขยายมาตรการ EV 3.5 เพื่อขยายเวลาการผลิตรถ เพื่อชดเชยการนำเข้า ตามมาตรการ EV 3.0 แต่รถอีวีที่ได้รับการขยายเวลา จะไม่ได้รับเงินอุดหนุน รวมทั้ง รถที่ผลิตตามมาตรการ EV 3.5 จนกว่าจะผลิตชดเชยตามจำนวนสิทธิที่ได้รับ คาดกว่า จะมีรถอีวีขอรับการสนับสนุนตลอดโครงการ จำนวน 830,000 คัน ใช้งบประมาณ ไม่น้อยกว่า 34,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 4 ปี

รายงานจากกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า รัฐบาล ประเมินภาวะเศรษฐกิจสูงกว่าคาดการณ์ จึงออกมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมอีวีดังกล่าว แต่ปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีน และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้บอร์ดอีวีตัดสินใจระงับการจ่ายเงินอุดหนุน เพื่อลดความเสียหายของภาครัฐ

เช่นเดียวกับ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ยอมรับว่า ยอดการผลิตชดเชยตามมาตรการ EV 3.0 ซึ่งเริ่มผลิตตั้งแต่ปีที่แล้ว ต่ำกว่าเป้าหมายไปมาก เนื่องจากตลาดอีวีในไทยและส่งออกยังไม่ฟื้นตัว ตามสภาพเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง

เรื่อง : พรรณทิภา ภัทรวรเมธ

อ่านข่าว : สคบ. เรียกสอบ NETA กรณีผู้บริโภคไม่ได้รับบริการหลังการขาย

 ไฟฟ้าไม่สะดุด พร้อมรับรถยนต์ไฟฟ้าบูม

 ยานยนต์ไฟฟ้าไทย หรือจะไปไม่ถึงดวงดาว?