จากกรณีมติแพทยสภาที่ยืนยันลงโทษแพทย์ 3 คน กรณีการรักษา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งชัดเจนถึงมาตรฐานการตรวจสอบและการรักษาไม่เป็นไปตามจรรยาบรรณวิชาชีพและไม่ได้มีหลักฐานว่าเจ็บป่วยวิกฤต ซึ่งมติของแพทยสภา อาจนำไปประกอบการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
ล่าสุดวันนี้ (13 มิ.ย.2568) รศ.ตระกูล มีชัย รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นถึงทิศทางทางการเมืองจากกรณีมติของแพทยสภาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ชินวัตร ว่า แม้มติของแพทยสภาจะมีผลต่อความรู้สึกของประชาชนและอาจกระทบต่อบรรยากาศทางการเมือง แต่ในการพิจารณาของศาลฎีกาฯ นั้นจะต้องมีการเรียกข้อมูลและเอกสารจากแพทยสภาไปประกอบการวินิจฉัย ซึ่งถือเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยในกระบวนการสืบหาข้อเท็จจริง
รศ.ตระกูล มีชัย รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.ตระกูล มีชัย รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.ตระกูล กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เข้าชี้แจงต่อแพทยสภาว่า ท่าทีและภาษากายของนายสมศักดิ์อาจสื่อถึงความพยายามในการตอบสนองต่อนายทักษิณ แม้เจ้าตัวจะให้สัมภาษณ์ว่าเป็นเรื่องของการปกป้องแพทย์และการรักษาความถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ภาษากายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องนี้มีน้ำหนักและความสำคัญต่อฝ่ายนายทักษิณ แต่ความพยายามดังกล่าวกลับไม่ประสบผลสำเร็จ พร้อมระบุเป็นทักษะของนักการเมืองสายพันธุ์เก่า
สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข
สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข
ในภาพรวมคดีของนายทักษิณส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่นั้น รศ.ตระกูล ระบุว่า เสถียรภาพของรัฐบาลไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยของคดีนายทักษิณเพียงอย่างเดียว เป็นเรื่องตัวแปรและปัจจัยของกลุ่มทุน
"คำว่าเสถียรภาพทางการเมืองไม่ได้เกิดจากคุณทักษิณเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการแก่งแย่งผลประโยชน์กัน ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ที่เข้าไปสนับสนุนพรรคการเมืองแต่ละพรรค ในขณะเดียวกันพรรคการเมืองแต่ละพรรคเองมีการแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งมองว่าเป็นวัฏจักรแห่งความชั่วร้ายของระบบการเมืองไทย พรรคการเมืองไทย ที่นักการเมืองแต่ละกลุ่ม แต่ละก๊ก แต่ละพวก พยายามที่จะรวมตัวกัน เพื่อต่อรองขอตำแหน่งเสนาบดีเข้ามาอยู่กับตัวเอง"
รศ.ตระกูล ยังกล่าวถึงกระบวนการปรับคณะรัฐมนตรี สังเกตได้ว่าไม่ได้ตอบโจทย์ปัญหาความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารราชการของกระทรวงแต่ละกระทรวง
ในรัฐบาลชุดนี้ กระทรวงอะไรที่ขาดประสิทธิภาพในการบริหารงานมากที่สุดก็ควรจะปรับรัฐมนตรีในกระทรวงเหล่านั้น
กระทรวงมหาดไทยเป็นจุดสนใจของสังคมและฝ่ายการเมืองอย่างเข้มข้น การจะปรับเปลี่ยน รมว.มหาดไทย จำเป็นต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่การกล่าวหาว่ามี การบริหารที่บกพร่องหรือ ไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยภายในได้ เท่านั้น แต่ต้องชี้ชัดให้ได้ว่า นโยบายของรัฐบาลข้อใดที่รัฐมนตรีผู้นั้นบริหารไม่ตอบโจทย์ หรือมีผลกระทบเสียหายต่อเป้าหมายนโยบายใดอย่างไร
หากพรรคเพื่อไทยต้องการสร้างความชอบธรรมในการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี จำเป็นต้องตอบให้ได้อย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร ใครเป็นผู้รับผิดชอบ และผู้ที่จะเข้ามาแทนสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่
การปรับคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี ต้องปรับเพื่อตอบโจทย์การบริหารงาน ไม่ใช่เป็นการปรับเพื่อความพึงพอใจหรือหวังผลการเลือกตั้ง ซึ่งการปรับเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของประชาชน
ถ้าตอบปัญหาไม่ได้ ปรับคณะรัฐมนตรีไป รัฐบาลก็ยิ่งไร้เสถียรภาพมากขึ้น
รศ.ตระกูล ยังระบุว่าถ้าหากมองว่าเป็นเกมทางการเมือง นายทักษิณคืออำนาจหนึ่ง ถ้าอำนาจนี้หลุดวงโคจรไป ก็ยังมีพลังดูด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขณะเดียวกันพรรคแกนหลักของรัฐบาลคือพรรคเพื่อไทย ยังมีกลุ่มอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย เพียงแต่กลุ่มเหล่านั้นจะแยกตัวออกมาหรือไม่ จะแพแตก หรือไปจับขั้วจับกลุ่มกันใหม่ อาจจะเกิดกระบวนการการปรับขั้วปรับกลุ่มการเมืองใหม่
ทักษิณไม่ใช่เป็นตัวแปรหลักที่ทำให้พรรคเพื่อไทยล่มสลาย แต่จะมีตัวแปรอื่นคือกลุ่มผลประโยชน์และนักการเมืองที่อยู่ในพรรคเพื่อไทย รวมทั้งอยู่ในพรรคอื่นที่แยกตัวออกมา และก่อตัวกันใหม่ต่างมีผลประโยชน์และมีกลุ่มของตัวเอง
นอกจากนี้ประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในการบริหารราชการแผ่นดินของผู้นำรัฐบาลยังไม่ถึง เพราะฉะนั้นคนที่จะคอยดูแลและช่วยเหลือในเวลานี้ คือใคร อีกทั้งอาจจะมีเจตนารมณ์ของตัวเอง มีกลุ่มการเมืองของตัวเองที่คอยขับเคลื่อน แค่ยังขาดความรอบรู้ในการบริหารงานประเทศในเรื่องสำคัญๆ และปล่อยให้มีจุดอ่อนกับตัวเองไปเรื่อยๆ จะทำให้ความเชื่อมั่นลดลง โอกาสในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหลังการปรับคณะรัฐมนตรี วิกฤตจะรุนแรงขึ้นอีก ทั้งปัญหาความมั่นคง เศรษฐกิจ ปัญหาภายใน โอกาสยากมากที่จะพาให้รัฐนาวาของรัฐบาลแพทองธาร 1/1
อ่านข่าว :
ทนาย "อดีตนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ" จ่อยื่นศาลปกครองปมชั้น 14
ศาลฎีกาฯ เรียกพยาน 20 ปาก ไต่สวน 4, 8,15 ก.ค. คดี "ทักษิณ" ชั้น 14