ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

นักวิชาการ ชี้วงถก JBC ตกลงไม่ได้ “กัมพูชา” เดินเกม ฟ้องศาลโลก

การเมือง
17:33
499
นักวิชาการ ชี้วงถก JBC ตกลงไม่ได้ “กัมพูชา” เดินเกม ฟ้องศาลโลก
นักวิชาการ-การเมือง ชี้ ถก JBC ฟันธงไม่สามารถตกลงกันได้ เชื่อกัมพูชาพยายามดันข้อพิพาทสู่ศาลโลก เดินเกมล็อบบี้ยีสต์เวทีโลก ย้ำเป็นหนังม้วนยาวต้องติดตาม ตั้งข้อสังเกตการเมืองภายในกัมพูชา แนะรัฐบาลไทยต้องมีท่าทีและสื่อสารชัดเจนถึงแผนต่อไป หากบานปลาย

วันนี้ (14 มิ.ย. 68) ผศ.ธนภัทร ชาตินักรบ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศและศูนย์กฎหมายแพ่ง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในเวทีเสวนา ความท้าทาย ในการจัดการข้อพิพาทชายแดนไทยกัมพูชา และบทบาทอาเซียน จับตาเวทีเจรจา JBC ที่กรุงพนมเปญ ที่ศูนย์อาเซียนศึกษา สถาบันอาณาบริเวณศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าศักยภาพเวที JBC หากมิติการหาทางออกร่วมกันก็ถือว่ามีประสิทธิภาพ

ในแง่ไม่ให้ข้อพิพาทถูกยกระดับไปสู่ความรุนแรง ถามเหตุใดทิ้งระยะห่างการเจรรานานกว่า 10 ปี และกลไกดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือ 2 ประเทศหากชาติใดชาติหนึ่งไม่ประชุม หรือเลือกที่จะคุยบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่คุยไม่ใช่เรื่องที่พิพาทกัน อย่างกัมพูชาเลือกที่จะนำไปคุยในศาลโลก กลไกนี้ก็อาจมีปัญหาในส่วนการระงับข้อพิพาท หากจุดตรงกลางไม่ได้

และมองหลังการเจรจา JBC ว่า ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะคุยภายใต้กรอบนี้ต่อไป แม้ว่าจะยังไม่ได้ข้อสรุปในข้อตกลง แต่ดีที่สุดอาจจะมีการเลื่อนกระบวนการทุกอย่างออกไปก่อน เช่นการยื่นฟ้องศาลโลกเลื่อนออกไป หรือเรื่องที่มีการกระทบกระทั่งกันในมิติของเศรษฐกิจ ให้มีการชะลอออกไปซึ่งเป็นทางที่ดีที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้

“ต้องติดตามผลการเจรจาในวันนี้ ขณะเดียวกันรับทราบว่ากัมพูชามีแผนที่จะยื่นฟ้องศาลโลกในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ ที่มีการแถลงผ่านเฟซบุ๊กของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่าจะยื่นฟ้องศาลโลก ซึ่งตรงกับวันที่ประเทศไทยถูกตัดสินเมื่อ 63 ปีที่แล้วศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมีคำพิพากษากรณีคดีเขาพระวิหารครั้งแรกที่ไทยถูกฟ้อง ซึ่งกัมพูชามีเป้าหมาย และได้แรงสนับสนุนจากคนในประเทศ หรือชาตินิยม แต่ประเทศไทยจะต้องมีความชัดเจนว่าจะรับหรือไม่เขตอำนาจศาลโลก ซึ่งตามกฏหมายของประเทศบุคคลที่จะแถลงและมีผล นั่นคือนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ”

ผศ.ธนภัทร กล่าวต่อว่า ผลที่ตามมาอาจมีการกดดันด้านเศรษฐกิจต่อ เช่นการปิดพรมแดนเพิ่มเติม หรือการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ร้ายแรงสุดขั้วอาจนำไปสู่ข้อพิพาททางกายภาพระหว่างกัน อาจนำไปสู่กลไกอื่นที่รุนแรงขึ้น กรอบขององค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงจะเข้ามามีบทบาทในส่วนนี้ โดยไม่คาดหวังให้ไปถึงจุดนั้นเชื่อว่ารัฐบาลจะพยายามอย่างยิ่งไม่ให้เดินไปถึงจุดนั้น

บทบาทของอาเซียน ตามกฎบัตรอาเซียนปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับความยินยอมทั้ง2ฝ่าย หากหากจะแก้กฎบัตรให้ครอบคลุมเรื่องข้อพิพาท ซึ่งข้อพิพาทอยู่ที่ผู้เจรจา2ประเทศจะหาทางออกร่วมกันอย่างไร น่าจะเป็นทางที่ดีสุดจะทำให้อาเซียนมีบทบาทมากขึ้น

และ เห็นว่า ไม่ว่าผลเจรจาวันนี้ออกมาอย่างไรสิ่งที่ต้องทำให้ชัดเจนต้องมีระบบการสื่อสารกับสังคมที่ชัดเจนกว่านี้ 1. ควรพูดเรื่องข้อพิพาทออกจากบุคคลคนเดียว 2. นายกรัฐมนตรีต้องมอบหมายคนที่รู้ข้อมูลอยู่ด้วยเพื่อสนับสนุนข้อมูลเวลาสื่อสาร ดีกว่าไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าว 3. และท่าทีของไทยต้องสื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจน ว่าต่อไปจะดำเนินการแผนต่ออย่างไร

สำหรับข้อเสนอแนะ หากเกิดกรณีวิกฤติลุกลามบานปลาย ซึ่งไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ยังคาดหวังว่าการเจรจาให้ข้อยุติเรื่องข้อพิพาท แต่หากเกิดวิกฤติขึ้นทางรัฐบาลจะต้องวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือกับสถานการณ์ ซึ่งจะต้องมีแผนเป็นระดับขั้นตอนในการรับมือ เช่น ฝ่ายความมั่นคงก็จะมีแผนอยู่แล้ว เช่น ปิดการเดินทางกัน

แต่ไม่แนะนำให้ไทยเป็นผู้เริ่มการกระทำปะทะก่อน ไม่เช่นนั้นจะเป็นการละเมิดพันธะกรณีระหว่างประเทศ ละเมิดกฎบัตรแห่งสหประชาชาติ เป็นการใช้กำลังระหว่างประเทศซึ่งผิดกฎหมายชัดเจนซึ่งประเทศไทยก็มีจุดที่ยอมได้และจุดข้ามเส้นไม่ได้ ที่จะต้องปกป้องดินแดนของไทย ผ่านการตั้งรับ เชื่อว่าอาจมีการกดดันมากขึ้นที่ไม่ใช่การใช้ความรุนแรง เป็นการกดดันด้านเศรษฐกิจชายแดน

ด้านผศ.เอกพล เธียรถาวร อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน และอนุกรรมการฝ่ายวิชาการ สภาการสื่อสารมวลชนแห่งชาติ กล่าวว่า จะมีกระแสความเกลียดชังที่เกิดขึ้นที่สื่อสารจาก 2 ฝั่งจากอุดมการชาตินิยม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความรุนแรง ที่จะต้องให้ความสำคัญในรูปแบบการสื่อสาร กระทบต่อความกังวลของประชาชนทั้ง 2ประเทศ ที่บางฝ่ายพยามใช้เป็นเครื่องมือ ซึ่งจะต้องระวังเรื่องการสื่อสารในการตอบโต้กรณีพิพาทเขตแดน

ขณะที่ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม มองว่า กลไกของการประชุม JBC ที่จะคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศ ระหว่างไทย-กัมพูชา หยิบยกข้อพิพาท 30 จุดแนวชายแดนทางบก 5 จังหวัด ชี้ประสิทธิภาพ ว่าการJBC ยังไม่เป็นรูปธรรมจากข้อพิพาท เชื่อว่าเป็นเหมือนกันทั่วโลก แต่อย่างน้อยก็เป็นกลไกหนึ่งในการหารือทวิภาคี ซึ่งอยู่ที่ศิลปะ ความรู้ในการเจรจา หากไม่มี JBC อาจเกิดการเผชิญหน้าและปะทะกัน

อย่างไรก็ตามมองว่า หลังจากการเจรจา JBC เชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่าย อาจจะคุยกันได้ แม้ว่าทางกัมพูชาจะไม่พูดคุยเรื่องข้อพิพาท 4 จุด ตาเมือนธม-ตาควาย-ตาเมือนนโต๊ด-ช่องบก แต่หากฝ่ายไทยพยายามที่จะผลักดันให้มีการพูดคุย และฝ่ายกัมพูชายินยอมพูดคุยก็จะเป็นเบสเคสซีนารีโอ แต่หากเวิร์สเคสซีนารีโอ คือ จุดยืนทั้ง 2ฝ่ายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

หากกัมพูชายืนยันจุดเดิมว่าไม่คุยในเรื่อง4จุด จะผลักดันเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างระหว่างประเทศหรือไอซีเจจะมีการผลักดันต่อไปหลังจากนั้นจะใช้กลไกเวทีระหว่างประเทศในการผลักดันบีบคั้นให้ประเทศไทยยอมรับเกี่ยวกับอำนาจศาลระหว่างประเทศในอนาคต

นายกัณวีร์ กล่าวว่า ประเทศไทยคงไม่ยอม แต่อย่าเชื่อมั่นว่าปัจจุบัน JBC ที่จะผลักดันการพูดคุยไม่ใช่จุดเริ่มต้นและจุดสุดท้าย ที่กัมพูชาจะพิจารณาใช้ ไทยอาจจะคิดว่าเวทีนี้จะเป็นจุดสุดท้ายนำมาซึ่งสันติภาพ และข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกัมพูชาในเรื่องเขตแดน แต่จุดยืนไทยยังไม่เห็น

กัมพูชาไม่สนใจเรื่องการตัดไฟตัดอินเตอร์เน็ตหรือเรื่องดรามาที่เกิดขึ้นในพื้นที่นั่นหมายถึงกัมพูชา วางแผนแยบยลที่จะนำไปสู่เป้าประสงค์ในอนาคต และต้องตีให้ออกว่ากัมพูชาเดินเรื่องเขตเขตแดนมาทำไม ให้เป็นข้อพิพาทในช่วงนี้ หรือทางกัมพูชาต้องการอะไรเมื่อสมเด็จฮุนเซ็นอายุเยอะ และฮุนมาเน็ต ได้รับกระแสนิยมในประเทศมากน้อยแค่ไหนอาจไม่เพียงพอที่จะคงอยู่เกี่ยวกับการเมืองในประเทศหรือไม่

เพราะทุกครั้งที่กัมพูชามีปัญหาหมายถึงเสถียรภาพทางการเมืองก็จะดึงเรื่องเขตแดนทุกครั้ง ที่ไทยเคยเกิดกรณีเขาพระวิหาร การเผาสถานทูตไทยที่กัมพูชา ซึ่งเป็นการเมืองที่กัมพูชาวางแผนขึ้นมา พร้อมวิเคราะห์ฉากทัศน์ JBC ฟันธงว่าไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งต้องติดตามว่าไทยเตรียมพร้อมมากน้อยแค่ไหนหากกัมพูชาไม่พูดคุย 4 จุด แนะนำเรื่องสู่ศาลโลก

นอกจากนี้บทบาทของอาเซียนเป็นหนังม้วนยาว ไม่ใช่แค่การเผชิญหน้าของ 2 ประเทศ ที่จะต้องเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตดังนั้นการวางยุทธศาสตร์ต่างๆของไทย ต้องมีจุดยืนด้านการทูตให้มากกว่าเดิม และจะสอดรับว่าอาเซียนจะเข้ามามีบทบาทอย่างไรกับปัญหาเรื่องเขตแดนข้อพิพาทในประเทศอาเซียน

ล่าสุดมาเลเซียพยามเข้ามามีบทบาท เช่น นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แต่จะหมดวาระสิ้นปีนี้ ต้องสร้างไม้ต่อให้กับประธานอาเซียนคนถัดไป ซึ่งฟิลิปปินส์ที่จะเป็นประธานเอง ก็ยังมองข้อพิพาทยังไม่ชัด หากสถานการณ์บริเวณชายแดนไปถึงการเผชิญหน้ามากขึ้นมีการวางกองกำลังทหารเป็นไปได้ที่จะเกิดการปะทะกัน เรื่องนี้ก็จะไปถึง UNHC ไทยต้องระวังในการวางตัว

“เชื่อมั่นว่ากัมพูชาจะเล่นบทล็อบบี้ยีส บทบาทของระหว่างประเทศต่อไป เห็นได้จากการไปเจรจากับผู้นำฝรั่งเศสแล้ว เริ่มเข้าไปคุยกับประเทศโน้นประเทศนี้แล้วเรียบร้อย คิดว่าหากเกิดสถานการณ์ใดกัมพูชาวางแผนมาเรียบร้อยไปไกลกว่าเรา แม้ว่าปัจจุบันไทยจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับมาเลเซีย แต่กัมพูชาก็มีความสัมพันธ์กับมาเลเซียด้วยเช่นกัน หากจะดูอาเซียนเข้ามาเกี่ยวข้องกับกรณีข้อพิพาทเชื่อมั่นว่าจะต้องปรับปรุงพื้นฐานอาเซียน“ นายกัณวีร์กล่าว

สส.เป็นธรรม ยังเสนอแนะหากเกิดสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายเป็นวิกฤติระหว่างประเทศ กลายเป็นหนังม้วนยาว ที่สืบเนื่องมาจากการเมืองภายในประเทศกัมพูชา และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ นำปัญหาต่างๆมาวางยุทธศาสตร์ชายแดน นำเม็ดเงินค่าเศรษฐกิจใช้แทนมาพัฒนาในพื้นที่ ชายแดนร่วมกัน

 อ่านข่าว:

 หลุมพรางกัมพูชา “ฮุน เซน” เหลี่ยมจัด ดึง “ไทย” ขึ้นสู่ศาลโลก

กต.แถลงคืบประชุม JBC หารือด้วยดี ย้ำค้านศาลโลก คาดคุยจบ 15 มิ.ย.

"ภูมิธรรม" เชื่อเปิด-ปิดด่านไทย-กัมพูชาได้ตามปกติ หลังประชุม JBC