วันนี้ (18 มิ.ย.2568) สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังคงร้อนระอุเข้าสู่วันที่ 6 ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันมหาศาลจากอิสราเอล ที่ต้องการให้สหรัฐฯ เข้าแทรกแซงความขัดแย้งกับอิหร่าน ด้วยกลยุทธ์ "ช็อกแอนด์ออว์" (shock-and-awe) ที่เน้นการโจมตีหนักและรวดเร็วเพื่อสร้างความตื่นตระหนก
อิสราเอลเรียกร้องให้ทรัมป์ใช้ระเบิดทำลายบังเกอร์ GBU-57 "Massive Ordnance Penetrator" น้ำหนัก 30,000 ปอนด์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อเจาะคอนกรีตหนาหลายร้อยฟุต หวังถล่มโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดของอิหร่านที่ฝังลึกในภูเขา
รายงานจาก CNN ระบุว่าทรัมป์สนใจสั่งกองทัพสหรัฐฯ โจมตีมากขึ้น หลังการเจรจานิวเคลียร์กับอิหร่านล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า และอิสราเอลเพิ่งโจมตีสำเร็จ สังหารผู้นำกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) และนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ระดับสูง พร้อมทำลายระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านเกือบทั้งหมด
คำถามที่ทั่วโลกจับตาคือ ทรัมป์แค่ขู่เพื่อบีบอิหร่านให้ยอมเจรจาและยอมจำนน ตามที่โพสต์บน Truth Social หรือพร้อมเปิดสงครามจริง ? อาลี วาเอซ ผู้อำนวยการโครงการอิหร่านจาก International Crisis Group กล่าวกับ CNN International ว่า การใช้การโจมตีของอิสราเอลเพื่อกดดันผู้นำอิหร่าน "ไม่มีทางได้ผล" เพราะอิหร่านมองว่านี่คือการบังคับให้ยอมจำนนและล้มระบอบการปกครองของ อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี นอกจากนี้ การรุกหนักของอิสราเอลอาจมีเป้าหมายซ่อนเร้นเพื่อขัดขวางความพยายามเจรจาทางการทูตของสหรัฐฯ หวังผลักดันให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบ

การตัดสินใจทำสงครามครั้งนี้อาจทำให้ทรัมป์ทิ้งหลักการ "America First" ที่เขาเคยยึดมั่น ซึ่งเน้นหลักหลีกเลี่ยงสงครามต่างชาติและการเปลี่ยนระบอบการปกครอง การเข้าร่วมสงครามจะขัดใจฐานผู้สนับสนุน "Make America Great Again" (MAGA) ที่ต่อต้านการรบในตะวันออกกลาง
และทรัมป์เคยประณามสงครามอิรักของ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ในการดีเบตเมื่อปี 2559 และเมื่อเดือนที่แล้วยังย้ำว่า การแทรกแซงต่างชาติมักทำลายมากกว่าสร้าง เพราะผู้นำสหรัฐฯ ไม่เข้าใจความซับซ้อนของสังคมที่เข้าไปยุ่ง
นั่นหมายถึง หากทรัมป์เลือกสงครามครั้งนี้ เขาจะกลายเป็น "นักแทรกแซง" อย่างที่เขาเคยดูถูกอดีตผู้นำสหรัฐฯ
อิหร่าน "ไม่ง่าย" เหมือนอิรัก-อัฟกานิสถาน
ระบอบการปกครองอิหร่านมีกองทัพที่แข็งแกร่งและพร้อมตอบโต้เพื่อปกป้องอำนาจ หากสหรัฐฯ โจมตี อิหร่านอาจยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพสหรัฐฯ ในอิรัก จอร์แดน หรือกาตาร์ หรือปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางส่งออกน้ำมันร้อยละ 35 ของโลก ซึ่งอาจจุดชนวนวิกฤตพลังงานโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งและเศรษฐกิจโลกโกลาหล อิหร่านอาจโจมตีแหล่งน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย คู่แข่งในภูมิภาค บังคับให้สหรัฐฯ นำทัพสงครามใหญ่ หรือเปิดฉากโจมตีทางไซเบอร์ต่อโครงสร้างพื้นฐานสหรัฐฯ เช่น ระบบไฟฟ้า หรือธนาคาร
คริส เมอร์ฟี สมาชิกวุฒิสภา เตือนว่า สงครามอิรักและอัฟกานิสถาน เป็นบทเรียน สหรัฐฯ ชนะศึกแรกง่าย แต่ติดหล่มยาวนาน เสียทหารนับพัน งบประมาณหลายล้านล้านดอลลาร์ และปลุกกลุ่มกบฏ เช่น อัลกออิดะห์ หรือ ISIS ลิเบียหลังโค่นโมอัมมาร์ กัดดาฟีในปี 2554 ก็กลายเป็นรัฐล้มเหลวที่อันตรายจนถึงทุกวันนี้
หากระบอบอิหร่านล่มสลายจากสงครามหรือการปฏิวัติต่อผู้นำสูงสุด ผลที่ตามอาจร้ายแรง อิหร่านมีประชากร 90 ล้านคน ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย เช่น เปอร์เซีย อาเซอร์ไบจาน เคิร์ด บาลูช และอาหรับ ความแตกแยกอาจนำสู่สงครามกลางเมืองหรือรัฐประหารโดยกองทัพหรือ IRGC ความโกลาหลอาจผลักผู้อพยพหลายล้านคนสู่ตะวันออกกลางและยุโรป ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาผู้อพยพอยู่แล้ว สร้างความตึงเครียดทางสังคมและหนุนกลุ่มสุดโต่ง

ช่องว่างความมั่นคง อาจเปิดทางให้ผู้ก่อการร้ายยึดวัสดุนิวเคลียร์จากโรงงานที่ถูกโจมตี เช่น นาทานซ์ หรือ ฟอร์โดว์ สร้างภัยคุกคามร้ายแรง สถานการณ์ในซีเรีย อิรัก และอัฟกานิสถาน พิสูจน์ว่ารัฐล้มเหลวเป็นแหล่งเพาะผู้ก่อการร้ายได้ง่าย ความวุ่นวายอาจลามไปยังปากีสถานหรือเลบานอนที่เปราะบางอยู่แล้ว
คำถามสำคัญคือ สหรัฐฯ และอิสราเอลจะควบคุมวัสดุนิวเคลียร์เหล่านี้ได้อย่างไร ? เพื่อไม่ให้ตกสู่มือกลุ่มอันตราย
อะไรผลักดันทรัมป์สู่สงคราม ?
ความสำเร็จของอิสราเอลที่ควบคุมน่านฟ้าอิหร่านทำให้ ทรัมป์มองว่านี่คือโอกาสชนะอันง่ายดาย เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ทรัมป์กล่าวว่า "เราควบคุมน่านฟ้าอิหร่านได้อย่างสมบูรณ์" สภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่ำสำหรับเครื่องบินสหรัฐฯ ดึงดูดทรัมป์อาจมีความหวังสร้างชัยชนะด้านนโยบายต่างประเทศเพื่อลบความล้มเหลวในการเจรจาสันติภาพที่เคยสัญญาไว้
ทรัมป์อยากเป็นผู้นำที่กำจัดภัยอิหร่าน ไม่ใช่บุช โอบามา หรือไบเดน และยังรู้สึกกดดันจากคำมั่นว่า "อิหร่านจะไม่มีนิวเคลียร์" โดยเฉพาะหลังฉีกข้อตกลงนิวเคลียร์ (JCPOA) ในสมัยแรก ซึ่งเคยจำกัดโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน อิสราเอลอ้างว่าเตหะรานเร่งพัฒนานิวเคลียร์ ทำให้ทรัมป์ไม่อาจนิ่งเฉย
แต่การตัดสินใจนี้ขาดแผนระยะยาวที่น่าเชื่อถือ ทรัมป์ไม่เคยเตรียมแผนสำหรับประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากสงคราม เช่น การเสียชีวิตของทหารหรือค่าใช้จ่ายมหาศาล สไตล์ปกครองที่แตกแยกของเขาอาจทำให้ขาดความไว้วางใจจากทั้งพรรครีพับลิกันและเดโมแครต ซึ่งจำเป็นสำหรับผู้นำในยามสงคราม ข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับนิวเคลียร์อิหร่านก็อาจมีข้อสงสัย เช่นเดียวกับกรณีอาวุธทำลายล้างสูงในอิรักที่นำสู่สงครามผิดพลาด

ทรัมป์ที่เคยภูมิใจไม่เริ่มสงครามใหม่ กลับยืนอยู่บนทางแยกเดิม คือ ส่งทหารสู่ตะวันออกกลางโดยอิงข้อมูลที่ไม่แน่นอน
ผู้เสียชีวิตจากสงครามอิรักและอัฟกานิสถานที่ฝังในสุสานแห่งชาติอาร์ลิงตันสมควรได้คำตอบว่า หากระเบิดสหรัฐฯ ลูกลงในอิหร่าน โลกจะเผชิญอะไรต่อไป ?
อ่านข่าวอื่น :
ศึกนี้เริ่มขึ้นแล้ว! ผู้นำสูงสุดอิหร่านประกาศกร้าวตอบโต้อิสราเอล