สักวันหนึ่งทุกคนก็ต้องเดินทางมาถึงวัยที่เรียกว่า "สูงอายุ" ชีวิตที่ผ่านการทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวและตัวเอง เมื่อถึง "วัยเกษียณ" บางคนได้พักผ่อน ท่องเที่ยว หรือเลี้ยงหลาน แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยัง "มีไฟ" และ "อยากทำงานต่อ" เพราะไม่ต้องการให้วันเวลาผ่านไปกับความเหงาในบ้าน
แต่ก็ยังมีผู้สูงวัยอีกนับล้านที่ไม่อาจหยุดพัก พวกเขาต้องตื่นเช้าไปทำงานในหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะหนักหรือเบา แล้วในโลกการทำงานสำหรับผู้สูงวัยนี้ มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง กฎหมายคุ้มครองมากน้อยแค่ไหน รวมถึงมี "สิทธิอะไรบ้าง" ไอเดียอาชีพที่เหมาะสำหรับผู้สูงวัย

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
อ่านข่าว : เกษียณยังมีค่า "Senior Job Connect" ผู้สูงอายุไทยไม่ใช่ภาระแต่คือพลัง
หากพูดถึงเรื่องการทำงานหลายคนอาจนึกถึงภาพที่เร่งรีบ ความกดดัน ยืนทั้งวัน ก้มทั้งวัน แต่นั่นอาจไม่ใช่งานที่เหมาะกับ "ผู้สูงอายุ" ไม่ใช่เพราะไม่เก่งแต่เพราะร่างกายมันไม่ได้เหมือนตอนอายุ 30 หรือ 40 ที่หัวใจยังสู้ แต่เข่าไม่ค่อยไหวแล้ว หากจะให้ยกเหตุผล ทำไมผู้สูงอายุหลายคนจึงยังทำงาน
- เงินไม่พอค่าครองชีพ หนี้สิน ค่ารักษาพยาบาล
- เหงา และมองว่าใช้เวลาไม่คุ้มค่า
- หลีกหนีคำว่า ภาระลูกหลาน
- ร่างกายยังตอบสนองต่อการทำงาน คิดว่าอยากทำอะไรต่อพรุ่งนี้
แล้วงานแบบไหนที่เหมาะกับผู้สูงอายุ ต้องเป็นแบบไหน เช่น อาจไม่ใช้แรงมากเกินไป, มีเวลาหยุดพัก, ไม่เสี่ยงบาดเจ็บ เป็นงานที่ใช้ประสบการณ์มากกว่ากล้ามเนื้อ ขณะที่รายได้ต้องพอเลี้ยงตัวได้ด้วย
การทำงานของ "ผู้สูงอายุ" ในประเทศไทย
ประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete - Aged Society) มีประชากรผู้สูงอายุจำนวน 13.60 ล้านคน คิดเป็น 20.94% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เฉลี่ยปีละประมาณ 500,000 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ก.พ.2568 : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม.) ชี้ให้เห็นแนวโน้มของผู้สูงอายุที่มีมากขึ้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยข้อมูลในปี 2567 ว่า มีจำนวนผู้สูงอายุที่ทำงาน 5.26 ล้านคน คิดเป็น 37.2% เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่มีจำนวน 5.11 ล้านคน หรือ 37.5% เมื่อพิจารณาสถานภาพการทำงาน พบว่า 64.4% เป็นผู้ประกอบการส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง, 19.7% ช่วยงานในครัวเรือนโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ส่วนที่เหลือเป็นลูกจ้าง 12.4% และนายจ้าง 3.5%
งานที่ผู้สูงอายุทำ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม 57.7% ตามด้วย ภาคบริการและการค้า 32.4% และ ภาคการผลิต 9.9% ที่มีเงินเดือนเฉลี่ย 6,826 – 14,612 บาท ส่วนอาชีพหลักของผู้สูงอายุ 55.4% เป็นผู้มีทักษะด้านเกษตรกรรมและประมง, 20.4% เป็นพนักงานบริการและผู้ค้าขาย, 8% ทำงานพื้นฐาน, 7.5% เป็นช่างฝีมือหรือผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง และกลุ่มอาชีพอื่น ๆ 8.7%
ข้อมูลส่วนนี้แสดงให้เห็นว่า มีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ยังทำงานอยู่ ผู้สูงอายุที่ทำงานส่วนใหญ่เป็นผู้ทำงานส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง รองลงมาช่วยธุรกิจในครัวเรือน, ลูกจ้าง และนายจ้าง ตามลำดับ

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ผู้สูงอายุทำงาน มีกฎหมายคุ้มครองหรือไม่
กฎหมายคุ้มครองเเรงงาน "เฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ" ปัจจุบันยังไม่มี โดยแรงงานผู้สูงอายุใช้กฎหมายเดียวกับแรงงานทั่วไป คือ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แต่ในปี 2562 กระทรวงแรงงานได้ออกประกาศเรื่องขอความร่วมมือส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีงานทำ ประกาศกระทรวงแรงงาน ออกมา
และมีพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 639) พ.ศ. 2560 กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งรับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปเข้าทำงาน โดยมีรายจ่ายเพื่อการจ้างงานไม่เกิน 15,000 บาท ต่อเดือนในแต่ละราย ทั้งนี้ เฉพาะการจ้างผู้สูงอายุในส่วนที่ไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการสร้างแรงจูงใจให้จ้างงานมากกว่า (ข้อมูล:กรมกิจการผู้สูงอายุ)
นอกจาก พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังมีกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 และ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 ด้วย
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
กฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายหลักที่คุ้มครองลูกจ้างในระบบ โดยกำหนดสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ค่าจ้างขั้นต่ำ ชั่วโมงการทำงาน ค่าล่วงเวลา วันหยุด และเงินชดเชยเมื่อเลิกจ้าง ตามมาตรา 5 ของกฎหมาย ลูกจ้างหมายถึง "ผู้ซึ่งตกลงทำงานให้นายจ้างเพื่อรับค่าจ้าง" โดยไม่จำกัดอายุ ดังนั้น ผู้สูงอายุที่ทำงานในฐานะลูกจ้างจึงได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกับแรงงานทั่วไป สิทธิที่สำคัญ ได้แก่
- เวลาทำงานปกติ ลูกจ้างทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับงานอันตราย ลดลงเหลือ 7 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
- ค่าจ้างขั้นต่ำ ลูกจ้างต้องได้รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่กำหนดในแต่ละจังหวัด (ในปี 2568 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 330-400 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับพื้นที่)
- เงินชดเชยเมื่อเลิกจ้าง หากนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุอันสมควร ลูกจ้างที่มีอายุงานตั้งแต่ 120 วันขึ้นไปมีสิทธิได้รับเงินชดเชยตามอายุงาน เช่น ทำงานครบ 1 ปีแต่ไม่ถึง 3 ปี ได้รับเงินชดเชย 90 วัน
- วันหยุดและวันลา ลูกจ้างมีสิทธิได้วันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณี (อย่างน้อย 13 วันต่อปี) และวันลาป่วย ลากิจ หรือลาคลอด
อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองนี้ใช้เฉพาะกับผู้สูงอายุที่เป็น "ลูกจ้าง" ในสถานประกอบการที่อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ซึ่งไม่ครอบคลุมผู้สูงอายุที่ทำงานอิสระหรือในภาคที่ไม่เป็นทางการ
พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
กฎหมายประกันสังคมให้ความคุ้มครองลูกจ้างในสถานประกอบการฯ โดยผู้สูงอายุที่เป็นลูกจ้างและอยู่ในระบบประกันสังคม มาตรา 33 มีสิทธิได้รับสวัสดิการ เช่น การรักษาพยาบาล เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต รวมถึงเงินบำนาญชราภาพเมื่อเกษียณ
สำหรับเงินบำนาญชราภาพ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไปและจ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน จะได้รับเงินบำนาญรายเดือนในอัตรา 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย และเพิ่ม 1.5% สำหรับทุก ๆ 12 เดือนที่จ่ายสมทบเกิน 180 เดือน ตัวอย่างเช่น ผู้ที่จ่ายสมทบ 20 ปี และมีค่าจ้างเฉลี่ย 15,000 บาท จะได้รับเงินบำนาญประมาณ 4,125 บาทต่อเดือนตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุที่ทำงานที่ไม่เป็นทางการ เช่น เกษตรกรรม หรือเป็นผู้ประกอบการส่วนตัว มักอยู่นอกระบบประกันสังคม หรืออาจอยู่ในระบบผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ซึ่งให้สวัสดิการจำกัดกว่า เช่น ไม่มีเงินบำนาญชราภาพ
เกษียณแล้ว ต่อประกันสังคมได้หรือไม่
แล้วหาก ผู้สูงอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี ที่เกษียณแล้วต่อประกันสังคมได้ไหม คำตอบคือ "ได้" ซึ่งต้องสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ภายใน 6 เดือน นับจากวันที่เกษียณอายุ
- เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง
- จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน (นับเงินสมทบทุกครั้งของการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา33 ในระบบประกันสังคมรวมกันจะทำงานกับนายจ้างกี่บริษัทก็ตาม)
- ยื่นแบบคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา39 ภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง
- ต้องจ่ายเงินสมทบจำนวน 432 บาทต่อเดือน เพื่อรักษาสิทธิประกันสังคม
สำหรับเอกสารการสมัคร ใช้แบบขอเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 (สปส.1-20), บัตรประชาชนตัวจริงหรือบัตรอื่นที่มีรูปถ่าย ซึ่งทางราชการออกให้ กรณีต้องการนำส่งเงินสมทบหักผ่านบัญชีธนาคารให้ถ่ายสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์หน้าแรกที่มีชื่อและเลขที่บัญชี ของผู้ประกันตน ทั้งนี้ ยื่นใบสมัครได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ / จังหวัด / สาขา (ยกเว้นสำนักงานใหญ่บริเวณกระทรวงสาธารณสุข)
พระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546
กฎหมายฉบับนี้มีเจตนารมณ์เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ โดยกำหนดสิทธิในด้านต่าง ๆ เช่น การรักษาพยาบาล การศึกษา การพัฒนาตนเอง และการมีส่วนร่วมในสังคม ตามมาตรา 11 สิทธิที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ได้แก่
การได้รับการสนับสนุนให้มีงานทำตามความสามารถ รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีโอกาสทำงานตามความเหมาะสม การคุ้มครองในสภาพการทำงานที่ปลอดภัย ผู้สูงอายุที่ทำงานต้องได้รับการคุ้มครองให้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
นอกจากนี้ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้จัดทำคู่มือสิทธิผู้สูงอายุเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิเหล่านี้ รวมถึงส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุผ่านนโยบายและโครงการต่าง ๆ คลิก

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
งานแบบไหนที่เหมาะกับสูงอายุ
ผู้สูงอายุในประเทศไทยที่ยังมีศักยภาพสามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบ โดยงานที่เหมาะสมควรคำนึงถึงสุขภาพ ความปลอดภัย และทักษะของผู้สูงอายุ
1. งานบริการพื้นฐาน ตัวอย่างงาน พนักงานต้อนรับ, พนักงานดูแลลูกค้า, งานให้คำปรึกษา, งานในร้านค้าปลีก งานประเภทนี้ไม่ต้องใช้แรงกายมาก และใช้ประสบการณ์หรือทักษะการสื่อสาร ซึ่งผู้สูงอายุหลายคนมีประสบการณ์จากงานในอดีต ตัวอย่างเช่น งานในอุตสาหกรรมโรงแรมหรือร้านอาหารที่ต้องการบุคลากรที่มีความน่าเชื่อถือ
2. งานที่ใช้ความรู้และประสบการณ์ ตัวอย่างงาน ที่ปรึกษาในสาขาต่าง ๆ, ครูฝึกสอน, วิทยากร, นักเขียน, งานด้านบริหารทรัพยากรบุคคล ผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์ยาวนานในสายงานสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ได้ เช่น การเป็นที่ปรึกษาในธุรกิจขนาดเล็กหรือการสอนทักษะอาชีพ
3. งานฝีมือและงานสร้างสรรค์ ตัวอย่างงาน งานเย็บปักถักร้อย, งานหัตถกรรม, การทำอาหารหรือขนม, งานศิลปะ งานเหล่านี้สามารถทำได้ที่บ้าน ช่วยให้ผู้สูงอายุมีรายได้เสริม
4. งานในชุมชนหรืองานอาสา ตัวอย่างงาน งานในศูนย์พัฒนาสวัสดิการผู้สูงอายุ, งานจัดกิจกรรมชุมชน, งานดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุด้วยกัน งานเหล่านี้ช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่าและมีส่วนร่วมในสังคม โดยไม่ต้องใช้แรงกายมาก
5. งานที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรหรือสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างงาน งานทำสวน, การปลูกพืชผักสวนครัว, การเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก เหตุผลที่เหมาะสม งานเกษตรขนาดเล็กเหมาะกับผู้สูงอายุที่อยู่ในพื้นที่ชนบท ช่วยให้มีกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพกายและใจ รวมถึงสร้างรายได้จากผลผลิต
6. อยู่บ้านก็ทำได้ งานออนไลน์ เช่น งานแปล ตรวจงานเขียน เขียนบล็อก ตอบแชตลูกค้า โดยเฉพาะถ้าเคยมีทักษะมาก่อน
7. เบาแรงแต่ขยัน ค้าขายเล็ก ได้มีโกกาศได้พูดคุยและพบปะผู้คน เปิดร้านกาแฟ น้ำเต้าหู้ อาหารตามสั่งหน้าบ้าน หรือขายออนไลน์แบบเบาๆ จากของสะสม ของแฮนด์เมด
อย่างไรก็ตาม งานแบบไหนที่ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยง นั้นอาจเป็นงานที่อาจกระทบกับสุขภาพร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น ต้องยกของหนัก เดินหรือยืนนาน ทำงานภายใต้เสียงดัง มลพิษ หรืออาจเป็นงานที่มี ความเครียด งานอันตราย เช่น ก่อสร้าง พื้นลื่น น้ำมัน ไฟฟ้า เป็นต้น
งานที่ดีที่สุดไม่ใช่แค่งานที่ "หาเงินได้" แต่งานที่ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่า "ตัวเองยังมีค่า" และที่สำคัญสังคมต้องไม่มองแรงงานสูงวัยว่าเป็น "แรงงานสำรอง" หรือแค่ "ช่วยกันไป" เพราะคนกลุ่มนี้เต็มไปด้วยประสบการณ์ วินัย และความอดทน ที่บางคนวัยรุ่นยังต้องเรียนรู้
ลองส่ง "รอยยิ้ม" และ "แววตาให้กำลังใจ" ให้กับผู้สูงวัยที่ยังทำงานสักนิดสิ่งนี้อาจเป็นพลังที่ทำให้วันของเขาวันนี้ ไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าเมื่อวาน เพราะบางทีกำลังใจเล็กๆ นี่แหละอาจใหญ่พอจะประคองทั้งใจของใครหลายคน
อ่านข่าว : สถานทูตแจ้ง "คนไทยในบาห์เรน" เตรียมกระเป๋าฉุกเฉินล่วงหน้า
แท็กที่เกี่ยวข้อง: