ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่สำคัญ ซึ่งเป็นผลจากจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อัตราการเกิดของเด็กและจำนวนประชากรวัยทำงานลดลง ปัจจุบัน ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยมีสัดส่วนผู้สูงอายุถึงร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งนำไปสู่การพึ่งพิงในวัยสูงอายุที่เพิ่มขึ้น นี่คือความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ
รัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญของการดึงศักยภาพของผู้สูงอายุมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยนโยบายด้านแรงงานของรัฐบาลมุ่งเน้นการยกย่องและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงานทุกกลุ่ม รวมถึงแรงงานผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความรู้และประสบการณ์อันทรงคุณค่า
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ภายใต้นโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร มุ่งเน้นการสร้างพลังผู้สูงอายุในทุกมิติ ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญชีวิต ผู้มากประสบการณ์ที่มีคุณค่า ไม่ใช่ผู้ที่รอรับการสงเคราะห์ เป้าหมายคือการขยายโอกาสทางเศรษฐกิจให้ผู้สูงอายุ ให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการการเงิน ส่งเสริมการจ้างงาน พัฒนาทักษะที่จำเป็น ส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัล และลดอุปสรรคในการทำงาน

เหตุผลที่ผู้สูงอายุยังคงเลือกที่จะทำงานนั้นมีหลากหลาย หลายท่านยังคงรู้สึกมีกำลังและอยากทำงานต่อ (ร้อยละ 51.5) ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อย (ร้อยละ 43.5) ให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องหารายได้เพื่อเลี้ยงดูตนเองหรือครอบครัว อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุบางกลุ่มอาจต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยและไม่มีเงินเก็บสะสม ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาสวัสดิการจากภาครัฐเป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาด้านการเข้าถึงเทคโนโลยีและการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ รวมถึงทัศนคติและความมั่นใจในการหางาน ในด้านความปลอดภัยในการทำงาน ผู้สูงอายุที่ทำงานบางส่วนยังประสบปัญหาจากสารเคมีเป็นพิษ (ร้อยละ 75.5) การทำงานกับเครื่องจักรที่เป็นอันตราย (ร้อยละ 13.9) และปัญหาที่ส่งผลต่อระบบหู/ตา (ร้อยละ 4.3) ส่วนปัญหาจากสภาพแวดล้อมในการทำงานที่พบบ่อย ได้แก่ อิริยาบถในการทำงานที่ไม่เหมาะสม (ร้อยละ 46.6) การทำงานที่มีฝุ่นละออง ควัน หรือกลิ่น (ร้อยละ 29.1) และสถานที่ทำงานที่ไม่สะอาด (ร้อยละ 10.2)
สถิติผู้สูงอายุในประเทศไทย ปี 2567
ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ "สังคมสูงวัย" (Aging Society) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 เมื่อสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด และต่อมาในปี พ.ศ.2564 ไทยก็ได้เข้าสู่ "สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ" หรือ "สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์" (Aged Society) เมื่อสัดส่วนประชากรกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20 และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะขยับเข้าสู่ "สังคมสูงอายุระดับสุดยอด" (Super Aged Society) ที่มีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ.2576
จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย.2567 กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าในจำนวนประชากรไทยทั้งหมด 64,989,504 คน มีผู้สูงอายุจำนวนทั้งสิ้น 13,450,391 คน คิดเป็นร้อยละ 20.70 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเกือบ 400,000 คน จากสถิติเดิมในเดือน ธ.ค.2566 ที่มีจำนวนผู้สูงอายุ 13,064,929 คน ในส่วนของผู้สูงอายุทั้งหมดนี้ เป็นผู้สูงอายุชาย 5,948,010 คน (ร้อยละ 44.22) และผู้สูงอายุหญิง 7,502,381 คน (ร้อยละ 55.78)
เมื่อแบ่งตามช่วงอายุ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากที่สุดคือกลุ่มวัยต้น (60-69 ปี) คิดเป็นร้อยละ 59.3 รองลงมาคือกลุ่มวัยกลาง (70-79 ปี) ร้อยละ 29.8 และกลุ่มวัยปลาย (80 ปีขึ้นไป) ร้อยละ 10.9

ภาคกลางมีจำนวนผู้สูงอายุมากที่สุดถึง 4,784,026 คน โดยจังหวัดกรุงเทพมหานครมีจำนวนผู้สูงอายุมากที่สุด 1,271,758 คน รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4,229,460 คน ภาคเหนือ 2,778,668 คน และภาคใต้ 1,658,237 คน ตามลำดับ
อัตราส่วนพึ่งพิงผู้สูงอายุในปี พ.ศ.2567 อยู่ที่ 31.1 ซึ่งหมายความว่า ประชากรวัยทำงาน 100 คน จะต้องรับผิดชอบดูแลผู้สูงอายุถึง 31 คน หรือกล่าวได้ว่า ผู้สูงอายุ 1 คน จะต้องมีประชากรวัยทำงานประมาณ 3 คนในการดูแล ปัจจุบัน "ลูก" ยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุในประเทศไทย รองลงมาคือการทำงานหารายได้ด้วยตนเอง และเบี้ยยังชีพจากทางราชการ
อย่างไรก็ตาม "กลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง" (ติดบ้านหรือติดเตียง) เป็นอีกกลุ่มที่น่าเป็นห่วง กรมอนามัยคาดการณ์ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า กลุ่มนี้จะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยในปี พ.ศ.2568 นี้ คาดว่าจะมีผู้สูงอายุติดบ้านประมาณ 126,000 ราย และติดเตียงประมาณ 236,000 คน

สถิติการทำงานของผู้สูงอายุในประเทศไทย ปี 2567
ในปี พ.ศ.2567 มีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ที่ยังคงทำงานอยู่ถึง 5,260,000 คน คิดเป็นร้อยละ 37.2 ของผู้สูงอายุทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้น 200,000 คนจากปี พ.ศ.2566 ผู้สูงอายุชายมีสัดส่วนการทำงานมากกว่าผู้สูงอายุหญิง (ร้อยละ 48.6 เทียบกับร้อยละ 28.9 ตามลำดับ) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคที่มีผู้สูงอายุทำงานมากที่สุด (1,710,000 คน) ตามมาด้วยภาคกลาง (1,270,000 คน) ผู้สูงอายุที่ทำงานส่วนใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัว (4,430,000 คน หรือร้อยละ 86.7) มีเพียง 680,000 คน (ร้อยละ 13.3) ที่อาศัยอยู่คนเดียว
ผู้สูงอายุที่ทำงานส่วนใหญ่สมรสแล้ว (ร้อยละ 74.6) ในด้านการศึกษา ผู้สูงอายุที่ทำงานส่วนใหญ่มีการศึกษาในระดับไม่มีการศึกษาหรือต่ำกว่าประถมศึกษา (ร้อยละ 65.1) รองลงมาคือระดับประถมศึกษา (ร้อยละ 17.8) อาชีพที่ผู้สูงอายุทำงานมากที่สุด คือ ผู้ปฏิบัติงานที่มีฝีมือด้านการเกษตรและประมง (ร้อยละ 55.4) รองลงมาคือพนักงานบริการและผู้จำหน่ายสินค้า (ร้อยละ 20.5) ในส่วนของสถานภาพการทำงาน ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ทำงานส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง (ร้อยละ 64.4) ตามมาด้วยผู้ช่วยธุรกิจในครัวเรือนโดยไม่ได้รับค่าจ้าง (ร้อยละ 19.7) และลูกจ้าง (ร้อยละ 12.4)

โดยเฉลี่ย ผู้สูงอายุทำงาน 39.9 ชั่วโมง/สัปดาห์ (ชายเฉลี่ย 40.1 ชั่วโมง หญิงเฉลี่ย 39.6 ชั่วโมง) ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ (ร้อยละ 36.8) ทำงาน 40-48 ชั่วโมง/สัปดาห์ ค่าจ้างหรือเงินเดือนเฉลี่ยของผู้สูงอายุที่ทำงานในฐานะลูกจ้างอยู่ที่ 13,339 บาท/เดือน โดยกรุงเทพมหานครมีค่าจ้างเฉลี่ยสูงสุดที่ 21,565 บาท และภาคเหนือมีค่าจ้างเฉลี่ยต่ำสุดที่ 9,413 บาท ผู้สูงอายุที่ทำงานส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบ (4,580,000 คน หรือร้อยละ 86.9) ซึ่งแตกต่างจากแรงงานในระบบ (690,000 คน)
จากข้อมูลปี พ.ศ.2566 กรมการจัดหางานได้ช่วยเหลือผู้สูงอายุให้ได้รับการบรรจุงานจำนวน 702 คน จากผู้ที่มาใช้บริการจัดหางาน 813 คน ตำแหน่งงานที่ผู้สูงอายุได้รับการบรรจุงานมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- แรงงานด้านการผลิตต่าง ๆ
- แม่บ้าน
- พนักงานดูแลความปลอดภัย
- พนักงานขับรถยนต์
- เจ้าหน้าที่ของรัฐ

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ.2566 มีผู้สูงอายุที่ยังไม่มีอาชีพในประเทศไทยถึง 1,107,567 คน โดยพบมากที่สุดที่จังหวัดนครราชสีมา (54,174 คน) และเชียงใหม่ (43,835 คน)
โครงการ Senior Job Connect งานดี ชีวิตดี ไม่มีเกษียณ
เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จับมือกับเครือข่ายภาคเอกชน เปิดตัวโครงการ "Senior Job Connect : งานดี ชีวิตดี ไม่มีเกษียณ" พร้อมเปิดระบบจับคู่งานกับผู้ประกอบการ เพื่อช่วยแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลนและดึงศักยภาพของผู้สูงอายุมาเป็นกำลังในการพัฒนาเศรษฐกิจ
โครงการนี้เป็นการรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าของผู้สูงอายุที่ยังมีศักยภาพในการทำงานและสามารถสร้างประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีการเปิดตัวระบบจับคู่งานผู้สูงอายุ "Young happy plus : Happy Job" ร่วมกับบริษัท ยังแฮปปี้ จำกัด เพื่อเพิ่มโอกาสในตลาดแรงงานสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการทำงานพาร์ตไทม์หรือโครงการระยะสั้น ระบบนี้จะเชื่อมโยงข้อมูลความต้องการทำงานของผู้สูงอายุกับความต้องการจ้างงานของผู้ประกอบการ โดยผู้สูงอายุสามารถสมัครได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
วิธีการใช้งาน Happy Job
- เข้าเว็บไซต์ younghappyplus.com
- เลื่อนหาแบนเนอร์ Happy Job และคลิกที่ปุ่ม งานทั้งหมด
- คลิกที่ขีดสามขีดมุมขวาบน จากนั้นคลิกปุ่ม ลงทะเบียนผู้หางาน
- กรอกข้อมูลส่วนตัวให้ครบถ้วน และกดบันทึก


วิธีการหาและสมัครงาน
- ค้นหางานที่สนใจจากหน้าแสดงงานทั้งหมด หากพบงานที่สนใจ กดปุ่ม ดูรายละเอียด เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม
- กดปุ่ม สมัครงานนี้ เพื่อส่งใบสมัคร
- รอการติดต่อกลับผ่านอีเมล ภายใน 7-10 วัน

ณ วันที่ 19 มิ.ย.2568 มีบริษัทเอกชน 6 แห่งที่ยืนยันเข้าร่วมโครงการและมีตำแหน่งงานให้เลือกมากกว่า 500 ตำแหน่ง นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้ออกกฎหมายยกเว้นภาษีเงินได้ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนจ้างงานผู้สูงอายุ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จ้างงานผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับรายจ่ายเพื่อการจ้างงานในส่วนที่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือนในแต่ละราย โดยสามารถหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า
อย่างไรก็ตาม สิทธิประโยชน์นี้จะจำกัดเฉพาะการจ้างผู้สูงอายุในส่วนที่ไม่เกินร้อยละ 10 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมดของบริษัทนั้น สำหรับคุณสมบัติของลูกจ้างผู้สูงอายุที่จะได้รับสิทธิประโยชน์นี้ จะต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และเป็นลูกจ้างของบริษัทที่จ้างอยู่ก่อนแล้ว หรือเป็นผู้สูงอายุที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และต้องไม่เป็นและไม่เคยเป็นกรรมการหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทที่จ้างงานหรือบริษัทในเครือเดียวกัน
บริษัทที่ขอใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นี้ จะต้องจัดทำรายงานเกี่ยวกับการจ้างงานผู้สูงอายุและเก็บรักษาไว้ที่สถานประกอบการ และแจ้งข้อมูลของผู้สูงอายุบนระบบเครือข่ายของกรมสรรพากรภายใน 150 วันนับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
ไทยพีบีเอส จัดเวทีเสวนาเพื่อผู้สูงอายุ
กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม. ร่วมกับ รายการสถานีประชาชน ไทยพีบีเอส จัดเวทีเสวนา “ยกระดับคุณภาพชีวิตรองรับสังคมสูงวัยครบทุกมิติ” ในวันที่ 24 มิถุนายน 2568
- เวทีเสวนา " Senior Job Connect : งานดี ชีวิตดี ไม่มีเกษียณ" เวลา 8.30 -11.30 น.
- เวทีพูดคุยแลกเปลี่ยน “เตรียมความพร้อมทุกมิติ ยกระดับคุณภาพชีวิต สู่สังคม สูงวัยคุณภาพ” เวลา 14.05 -15. 30 น.
ชมสดผ่าน FACEBOOK LIVE : Thai PBS และ Thai PBS News

เวทีเสวนา Senior Job Connect : งานดี ชีวิตดี ไม่มีเกษียณ
เวทีเสวนา Senior Job Connect : งานดี ชีวิตดี ไม่มีเกษียณ

เวทีพูดคุยแลกเปลี่ยน เตรียมความพร้อมทุกมิติ ยกระดับคุณภาพชีวิต สู่สังคม สูงวัยคุณภาพ
เวทีพูดคุยแลกเปลี่ยน เตรียมความพร้อมทุกมิติ ยกระดับคุณภาพชีวิต สู่สังคม สูงวัยคุณภาพ
แหล่งข้อมูล : โครงการ Young Happy Plus, โครงการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรไตรมาส 3 พ.ศ.2567, สำนักงานสถิติแห่งชาติ, สสส.
อ่านข่าวอื่น :
รีวิว 1 วัน ชีวิต "ครู" กับภารกิจที่ไม่ใช่แค่ "การสอน"
"คารม" ลาออกรองโฆษกรัฐบาล ลั่นนักการเมืองไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าศักดิ์ศรีประเทศ
"เบี้ยผู้สูงอายุ 2568" เงินเข้าวันไหนบ้าง เช็กเงื่อนไข-ลงทะเบียน 2569