แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะงดการประชุมปรึกษาคดี เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 23-26 มิ.ย.นี้ เนื่องจากต้องเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมคณะกรรมการสมาชิกสมาคม ตามข้อบังคับของสมาคมศาลรัฐธรรมนูญเทียบเท่าแห่งเอเชีย โดยแจ้งจะประชุมปรึกษาคดีคราวต่อไปวันที่ 1.ก.ค. นี้
จึงอาจส่งผลให้การยื่นเรื่องของ นายมงคล สุรสัจจะ ประธานวุฒิสภาต่อศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.เพื่อขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่าด้วยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ “แพทองธาร ชินวัตร” สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 วงเล็บ 4 ประกอบมาตรา 160 ( 4 )และ(5 )หรือไม่ มีสิทธิได้ไปต่อรอลุ้นตามขั้นตอน

ขณะที่แพทองธาร ก็อาจต้องนับเวลาถอยหลัง หากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณา หลัง “นายกรัฐมนตรี” ยอมรับว่า คลิปเสียงสนทนาเป็นของตนกับสมเด็จฮุน เซน จริง และมีเนื้อหาพาดพิง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 จริง
โดยคำร้องได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลจะมีคำว่าวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรค 2 ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาของศาลรัฐ ธรรม นูญ พ.ศ.2561 มาตรา 71ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562ข้อ40(8)
ผู้ร้องจำนวน 36 คนได้มอบให้ พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา วุฒิสมาชิก( สว.) เป็นผู้มีอำนาจยื่นคำร้องเพิ่มเติมขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้อง ยื่นบัญชีระบุบัญชีพยานต่างๆ ยื่นคำร้อง คำแถลงปิดและเปิดคดี คำแถลง คำชี้แจงการให้ถ้อยคำ หรือให้ถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริง หรือความเห็น และเบิกต่อศาลดำเนินกระบวนการพิจารณาหรือพิจารณาดำเนินการใด ๆทั้งปวง ในคดีนี้ต่อประธานวุฒิสภาและศาลรัฐธรรมนูญแทนคณะสว.ทุกคนจนเสร็จการ
แม้ศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่ได้ระบุว่าจะมีการปรึกษาคดีใด แต่วันที่ 1 ก.ค. นี้ ศาลอาจมีมติว่าจะรับหรือไม่รับไต่สวนคำร้องสว. เพื่อขอให้แพทองทานหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

ในกรณีที่ศาลมีมติรับคำร้องไว้พิจารณาและวินิฉัยให้ “แพทองธาร” ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว จะทำให้ รองนายกคนที่ 1 คือ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รมว.กลาโหม ต้องทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีทันที และยังสามารถเสนอรายชื่อครม.ชุดใหม่ ขณะเดียวกันยังมีอำนาจใจการยุบสภาได้ด้วยเช่นกัน
แต่ปัญหาเฉพาะหน้าที่รัฐบาลเพื่อไทยต้องเผชิญ คือ การจัดสรรโควตารัฐมนตรีกันลงตัวหมดทุกกระทรวงแล้วหรือยัง ถัดจากนั้นจะต้องมีขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควร

ในขณะที่การนัดชุมนุมใหญ่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กำลังจะเริ่มขึ้นในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ หลังจากพรรคร่วมรัฐบาลมีมติร่วมรัฐบาลอยู่เหมือนเดิม โดยทุกพรรคจะได้รับการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีเพิ่มจากพรรคภูมิใจไทยที่ถอนตัวออกไปเป็นฝ่ายค้านอีก 8 ตำแหน่ง เพื่อรับมือจากภัยคุกคามภายนอกเพิ่มเติม และ “แพทองธาร” ยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การเปลี่ยนตัวนายกฯ” ตามข้อเสนอของพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.)ที่หลุด(หลอก)รอดออกมาก่อนหน้านี้ และควันกรุ่นจากการแย่งชิงตำแหน่ง 1 รัฐมนตรีว่าการ และ1 รัฐมนตรีช่วยของรทสช.ในปีก “สุชาติ ชมกลิ่น” รองหัวหน้าพรรคฯ ซึ่งยังไม่ลงตัว
ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจ ทั้งในและนอกประเทศที่ถูกบีบรัดและยังไม่สามารถปลดล็อคได้ ยังไม่รวมกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมเผชิญหน้าและมีสิทธิปะทะกันได้ตลอดเวลา
ช่วงปลายเดือนมิ.ย.-ก.ค.นี้ ความวัวยังไม่ทันหาย “เสียงจากคลิปลุง-หลาน” ความยุ่งวุ่นวายต่าง ๆ ก็เข้ามาแทรก ไม่เว้นช่องว่าง ด้วยวันที่ 23 มิ.ย.”ทักษิณ ชินวัตร” ต้องต่อสู้คดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ

ส่วน “แพทองธาร”ก็ต้องรอลุ้นคำสั่งจากศาลรัฐธรรมนูญว่า จะต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ หรือไม่ และยังเป็นวันเดียวกับศาลอาญานัดสืบพยานโจทก์และจำเลยคดีมาตรา 112 ของ "ทักษิณ”ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานระบุว่า วันนี้ ( 23 มิ.ย.2568)ที่ประชุม คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห้งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ให้รับตรวจสอบเบื้องต้น กรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำการฝ่าฝืนไม่ปฎิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร กับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา
นอกจากนี้ ยังให้ดูข้อเท็จจริงว่า ปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญ มีการรับเรื่องวินิจฉัย กรณีน.ส.แพทองธาร ฝ่าฝืนจริยธรรมกรณีนี้ไว้แล้วหรือไม่ เนื่องจากข้อมูลมีการปรากฎว่ามีการร้องเรียนประเด็นนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน โดยให้เวลาตรวจสอข้อเท็จจริง 10 วัน
ขณะที่ยอดล่าสุดของการเปิดรับเงินบริจาคเข้ามูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินที่จะใช้ในการจัดกิจกรรม การชุมนุมสาธารณะของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยในวันเสาร์ที่ 25 มิ.ย.นี้ เพียง 5 ชั่วโมงที่เปิดรับบริจาคยอดทะลุไปกว่า 4 ล้านแล้ว

ดังนั้น วิถีชีวิตทางการเมือง “พ่อ-ลูก” ตระกูลชินวัตร อาจกล่าวได้ว่า ยิ่งกว่าถูกต้อนเข้าหามุมอับ เรียกได้ว่า “แพทองธาร” อยู่ในขั้น “โคม่า” ขณะที่ ”ทักษิณ” อยู่ในอาการที่เรียกว่า “ตรีทูต”จึงน่าจับตาว่า จะมี “หมอดี-ยาดี”จากไหนเข้ามาช่วยให้รอดพ้น
แม้ตระกูลชินวัตร จะไม่เคยกดดันตัวเอง ให้ยุบสภา หรือลาออก ไม่ว่าจะถูกม็อบกดดันไล่นานวันเพียงไหนก็ตาม แต่ทุกครั้งที่สิ้นสภาพมักจะเจอกฎหมายไล่บี้ทุกยุค
อ่านข่าว