ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณรายจ่ายปี 2569 เรื่องแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงต่าง ๆ รวมทั้งมหาดไทย กองทัพ เพื่อกุมความได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้า รวมทั้งการเจรจาเรื่องกำแพงภาษีทรัมป์ ที่กลุ่มนักลงทุนและธุรกิจกำลังลุ้นกันว่า จะออกมาอย่างไร
จึงได้เห็นการปรับ ครม.ครั้งนี้ เป็นแบบ “ลดแลกแจกแถม” เพราะพรรคร่วมรัฐบาลต่างได้รับจัดสรรกันโดยถ้วนหน้า โดยได้กระทรวงเกรดดีขึ้น หรือได้โควตารัฐมนตรีเพิ่มขึ้น ผลจากการเจรจาต่อรอง และความพร้อมตอบสนองให้ของพรรคแกนหลักอย่างพรรคเพื่อไทย แม้แต่พรรคเล็ก 3 เสียง อย่างพรรคชาติพัฒนา ยังมีข่าวว่าจะได้โควตารัฐมนตรี 1 ที่นั่ง
เพราะยังมีเป้าหมายเพื่อเรียกคะแนนนิยมของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในจังหวะที่ผู้นำรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำจากเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ผู้นำตัวจริงของกัมพูชา ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นเรียกระดมมวลชนของกลุ่มผู้ชุมนุมภายใต้ชื่อ “พลังแผ่นดิน” 28 มิ.ย.ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
หนำซ้ำ ยังโดนผู้นำจอมเก๋าของกัมพูชา อย่างสมเด็จฮุน เซน ออกโรงขย่มอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “อีก 3 เดือน ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่” ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับรัฐบาลไทย สำหรับการตกเป็นเป้าความไม่มั่นใจของผู้คนมากขึ้นว่า จะ “ไปต่อ” ได้หรือไม่
จึงได้เห็นการโหมโปรโมทประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล เพื่อหวังเพิ่มศักยภาพ และความสามารถของรัฐบาล และนายกฯ ในหลายเรื่องแทบจะเป็นแบบรายวัน
ทั้งประกาศมีฝ่ายกองทัพให้การสนับสนุนรัฐบาล และพร้อมใช้มาตรการตอบโต้ที่เข้มข้นเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา หากถูกละเมิดอธิปไตย การประกาศปิดพรมแดนไทย-กัมพูชา เกือบทุกจุดเพื่อการยกระดับว่ารัฐบาลเอาจริง รวมถึงนายกฯ ไทยอวดวิสัยทัศน์ ประกาศหาน้ำมันสำรองไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน อันเป็นผลจากความขัดแย้งในช่องแคบเฮอร์มุซ
ทั้งที่โดยข้อเท็จจริง ล้วนเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลต้องทำอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอทำในช่วงสถานการณ์ไม่ปกติ
ยังมีเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรก วงเงินกว่า 1.15 แสนล้านบาท ที่ปรับเปลี่ยนมาจากโครงการดิจิทัลวอลเลต เน้นการลงทุนไปที่โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน น้ำ-ถนน-ท่องเที่ยว หวังดัน GDP โตเพิ่ม 0.4 % และจะมีจ้างงานเพิ่มหลายแสนตำแหน่ง เริ่มใช้เงินตั้งแต่ 25 มิ.ย.2568 เป็นต้นไป
ท่ามกลางข้อสงสัย จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ หรือเป็นการกระจายงบให้กับกลุ่มที่มีส่วนได้เสียหรือเครือข่ายนักการเมือง ซ้ำรอยกับโครงการในลักษณะนี้ เช่น มิยาซาว่า หรือสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงที่ผ่านมาหรือไม่
ล่าสุด 24 มิ.ย.ยังได้เห็นนายกฯ นำทีมแกนนำรัฐบาลแถลง เรื่องมาตรการเร่งด่วนแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง เรื่องราคาพืชผลการเกษตร ปัญหายาเสพติด และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวคนละครึ่ง ซึ่งเกือบทั้งหมด ก็แทบไม่มีอะไรใหม่ เพียงคาดหวัง ให้เป็นข่าวอยู่บนหน้าสื่อ ทั้งที่เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกฯ มีเวลาเหลือเฟือ สำหรับการผลักดัน หรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ หากจะเอาจริงเอาจัง
คำถามสำคัญ คือ รัฐบาลแพทองธาร 2 จะมีเวลาเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน เพราะไม่เพียงเรื่องเสถียรภาพรัฐบาล กรณีเสียงปริ่มน้ำ การเตรียมยื่นญัตติอภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย ที่เคยอยู่ร่วมรัฐบาลกันมาก่อน
ยังมีปัญหาด้านนิติสงคราม ที่ สว.ร่วมลงชื่อยื่นหนังสือร้องศาลรัฐธรรมนูญฯ และ ป.ป.ช. โดยเฉพาะการยื่นถอดถอน น.ส.แพทองธาร จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน เป็นการกระทำฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และมีพฤติการณ์ไม่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ของวิญญูชนหรือไม่
ในคำร้อง ยังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการถูกยื่นสอยจากเก้าอี้นายกฯ ของนายเศรษฐา ทวีสิน กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ใช้กรอบเวลาเพียงประมาณ 3 เดือนนับจากรับคำร้อง
เท่ากับเป็นช่วงเวลาลุ้นระทึก สู่การนับถอยหลังของ น.ส.แพทองธาร และรัฐบาล อย่างเลี่ยงไม่พ้น หากคำร้องมีมูล
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว :