ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ว่าที่ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่กับบทพิสูจน์ "ความอิสระของธนาคารกลาง"

เศรษฐกิจ
19:45
273
ว่าที่ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่กับบทพิสูจน์ "ความอิสระของธนาคารกลาง"
การทำงาน บทบาท ของ ธปท.ที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลพยายามส่งสัญญาณถึงความต้องการเห็น "ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่" ทำงานสอดประสานกับรัฐบาลมากขึ้น แต่เอกชนและนักเศรษฐศาสตร์ เริ่มส่งเสียงท้วงติงสเปกดังกล่าว หลังประเมินอาจกระทบความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือประเทศ

เสร็จสิ้นไปแล้ว สำหรับกระบวนการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ แทน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ คนปัจจุบัน จะครบวาระการทำงาน ในวันที่ 30 ก.ย.นี้ 

โดยบอร์ดคัดเลือกฯ ได้ส่งชื่อผู้เหมาะสมจะได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ จำนวน 2 คน จากจำนวนผู้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ 6 คน เรียกได้ว่า ชื่อที่ออกมานี้ "ไม่พลิกโผ" ได้แก่ นาง รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน

การปรากฏชื่อของนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ในฐานะคู่ชิงคนนอกแบงก์ชาติ จึงได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะในแง่สถิตินับจากวิกฤต 2540 มีผู้ว่าแบงก์ชาติมาแล้ว 7 คน เกือบทั้งหมดเป็นคนนอกทั้งสิ้น ยกเว้น คุณ ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าฯ หญิงคนแรก และ เป็นผู้ว่าฯ คนในแท้ ๆ

ประกอบกับ ภาพการทำงานระหว่าง รัฐบาลและผู้ว่าแบงก์ชาติ คนปัจจุบัน ล้วนมักมีความเห็นที่ไม่สอดประสานกันเท่าที่ควร ทั้งการทักท้วงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต การลดดอกเบี้ย ค่าเงิน

ขณะที่ นายวิทัย ในฐานะผู้บริหารแบงก์รัฐ ที่มีผลงานเข้าตาฝ่ายการเมืองได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการปล่อยซอฟต์โลน 100,000 ล้านบาท "ลดดอกเบี้ย" โดยไม่ต้องรอ กนง. การแฮร์คัตหนี้โควิด-19 จำนวน 500,000 บัญชี และกดดอกเบี้ยจำนำทะเบียนเริ่มต้นร้อยละ 11 จากอัตราในตลาดร้อยละ 19 ตามพันธกิจธนาคารเพื่อสังคม

โดยเฉพาะห้วงเวลานี้ ที่รัฐบาลมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องการเครื่องไม้เครื่องมือ ทั้งทางการเงิน และ การคลัง มาช่วยชีวิต หลังหนี้สาธารณะไทยกำลังเดินเข้าสู่จุด "เกินเพดานร้อยละ 70 ของจีดีพี" ในอีก 2 ปีข้างหน้า

ขณะที่ งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ส่วนใหญ่ ยังคงเป็นรายจ่ายประจำและงบฯ ใช้หนี้เก่า แต่ประเทศเวลานี้ต้องการการเร่งเครื่องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง แต่สถานการณ์การเมืองขณะนี้ การขับเคลื่อนนโยบายใด ๆ ก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่หากปล่อยให้ จีดีพี โตต่ำ ก็ยิ่งเร่งวิกฤตหนี้สาธารณะ สุ่มเสี่ยงนำไปสู่การถูกหั่นเครดิตเรตติ้งจริง ไม่ใช่แค่ "คำเตือน" จากการปรับลดมุมมอง (Outlook)

หากผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ เป็น นายวิทัย จริง อาจได้เห็นการสอดประสานนโยบายการคลังอย่างราบรื่นตามสเปกของ "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง" เพราะในแบงก์ชาติตอนนี้มี "นายสมชัย สัจจพงษ์" อดีตปลัดกระทรวงการคลัง นั่งในตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติไปรออยู่แล้ว

ทันทีที่ชื่อของ "ว่าที่แบงก์ชาติคนใหม่" ปรากฏขึ้น เอกชนและนักวิชาการก็เริ่มส่งเสียงท้วงติง นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ TDRI กล่าวว่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ควรมีคุณสมบัติเรียงลำดับตามความสำคัญ ดังนี้

  1. มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ทำงานตอบสนองนโยบายของฝ่ายการเมือง
  2. มีความรู้ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ ของการเป็น "นายธนาคารกลาง" ที่ต้องมองภาพใหญ่ได้ ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพ โดยไม่ละทิ้งการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ไม่ต่ำกว่าระดับศักยภาพ
  3. รู้ความเป็นไปในภาคเศรษฐกิจจริง ที่ไม่ใช่เพียงการดูตัวเลข
  4. ประสานงานกับนโยบายการคลังอย่างเหมาะสม
  5. รับฟังความเห็นของ Staff แต่ตัดสินใจ บนหลักการของตัวเอง

จึงคาดหวังว่า นายพิชัย จะมองคุณสมบัติ ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ที่ทำประโยชน์เพื่อชาติมากกว่าแค่สเปก "ทำงานกับกระทรวงการคลังอย่างราบรื่น" ตลอดจน ความเห็นของ "ท่าน" หรือ "ผู้มีอำนาจคนอื่น"

สอดคล้องกับ นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก กล่าวว่า ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ควรดำรงซึ่งความเป็นอิสระ รักษาวินัยการเงิน ไม่ควรเป็นผู้ถูกการเมืองครอบงำ เพราะการดำเนินนโยบายเอื้อฝ่ายการเมืองมากเกินไป จะกระทบความน่าเชื่อประเทศและลุกลามสร้างความซับซ้อนของปัญหาในระบบเศรษฐกิจ

กระบวนการคัดเลือกผู้ว่าการแบงก์ชาติ เป็นกลไกถ่วงดุลอำนาจระหว่าง ธนาคารกลาง และ ฝ่ายการเมือง เพราะคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท. มีสัดส่วนจากอดีตข้าราชการเป็นหลัก อีกทั้ง "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง" ยังเป็นผู้ "ชี้ขาด" เคาะชื่อ ผู้ว่าฯ ธปท. ในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนนำเข้า ครม.

แต่วิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้แบงก์ชาติได้บทเรียนถึงการปิดช่องว่าง "สกัดกั้นการถูกการเมืองแทรกแซง" ผ่านการแก้ไขใน พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่4) พ.ศ.2551 โดยเฉพาะ การกำหนดคุณสมบัติต้องห้าม ในคณะกรรมการสำคัญต่าง ๆ เช่น ตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ห้ามเป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี

เงื่อนไขนี้ทำให้คณะกรรมการคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ต้องเลื่อนประชุมหลายครั้งเพื่อตรวจสอบข้อกฎหมาย และคณะกรรมการฯ จะลงมติให้ "นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง" เป็นประธานบอร์ด ธปท. แต่สุดท้ายกฤษฎีกาก็ต้องตีความกฎหมายใหม่และปัดตกให้ "นายกิตติรัตน์" ขาดคุณสมบัติ ต้องเลือกใหม่เป็นนายสมชัย สัจจงพงษ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง

เช่นเดียวกับตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ก็กำหนดคุณสมบัติข้อนี้เช่นกัน แต่การทำงานในฐานผู้ว่าการ ธปท. ที่อยู่ในคณะกรรมการสำคัญ และมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของประเทศ 

แต่การพิจารณาใด ๆ ล้วนอยู่ในรูปแบบ "คณะกรรมการ" และในแต่ละคณะ มีทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ คนนอก และผู้บริหารคนใน ตลอดจนระบบการตรวจสอบภายในที่เข้มข้นเพื่อถ่วงดุลการทำงาน ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่เคร่งครัด จึงไม่ใช่แค่ผู้ว่าการ ธปท.คนเดียว สามารถทำอะไรได้ง่าย

การสอดประสานการทำงาน ระหว่างนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง ที่ดี จึงไม่ใช่ "ส่งใครเข้าไป" แต่อาจหมายถึง "การสื่อสารกันให้มากขึ้น" อาจทำให้บรรยากาศการทำงานระหว่างแบงก์ชาติและรัฐบาลดีขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ และประชาชนเอง

วิเคราะห์โดย พรรณทิภา ภัทรวรเมธ

อ่านข่าวอื่น :

เอกชนจี้รัฐเร่งแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา ฟื้นความมั่นใจนักลงทุน

"สนามบินภูเก็ต" ใช้แผนเผชิญเหตุพบรถ จยย.ต้องสงสัย