เสร็จสิ้นไปแล้ว สำหรับกระบวนการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ แทน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ คนปัจจุบัน จะครบวาระการทำงาน ในวันที่ 30 ก.ย.นี้

โดยบอร์ดคัดเลือกฯ ได้ส่งชื่อผู้เหมาะสมจะได้รับการคัดเลือกเป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ จำนวน 2 คน จากจำนวนผู้ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติ 6 คน เรียกได้ว่า ชื่อที่ออกมานี้ "ไม่พลิกโผ" ได้แก่ นาง รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน

การปรากฏชื่อของนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ในฐานะคู่ชิงคนนอกแบงก์ชาติ จึงได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะในแง่สถิตินับจากวิกฤต 2540 มีผู้ว่าแบงก์ชาติมาแล้ว 7 คน เกือบทั้งหมดเป็นคนนอกทั้งสิ้น ยกเว้น คุณ ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าฯ หญิงคนแรก และ เป็นผู้ว่าฯ คนในแท้ ๆ
ประกอบกับ ภาพการทำงานระหว่าง รัฐบาลและผู้ว่าแบงก์ชาติ คนปัจจุบัน ล้วนมักมีความเห็นที่ไม่สอดประสานกันเท่าที่ควร ทั้งการทักท้วงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต การลดดอกเบี้ย ค่าเงิน
ขณะที่ นายวิทัย ในฐานะผู้บริหารแบงก์รัฐ ที่มีผลงานเข้าตาฝ่ายการเมืองได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการปล่อยซอฟต์โลน 100,000 ล้านบาท "ลดดอกเบี้ย" โดยไม่ต้องรอ กนง. การแฮร์คัตหนี้โควิด-19 จำนวน 500,000 บัญชี และกดดอกเบี้ยจำนำทะเบียนเริ่มต้นร้อยละ 11 จากอัตราในตลาดร้อยละ 19 ตามพันธกิจธนาคารเพื่อสังคม
โดยเฉพาะห้วงเวลานี้ ที่รัฐบาลมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องการเครื่องไม้เครื่องมือ ทั้งทางการเงิน และ การคลัง มาช่วยชีวิต หลังหนี้สาธารณะไทยกำลังเดินเข้าสู่จุด "เกินเพดานร้อยละ 70 ของจีดีพี" ในอีก 2 ปีข้างหน้า
ขณะที่ งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ส่วนใหญ่ ยังคงเป็นรายจ่ายประจำและงบฯ ใช้หนี้เก่า แต่ประเทศเวลานี้ต้องการการเร่งเครื่องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง แต่สถานการณ์การเมืองขณะนี้ การขับเคลื่อนนโยบายใด ๆ ก็เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่หากปล่อยให้ จีดีพี โตต่ำ ก็ยิ่งเร่งวิกฤตหนี้สาธารณะ สุ่มเสี่ยงนำไปสู่การถูกหั่นเครดิตเรตติ้งจริง ไม่ใช่แค่ "คำเตือน" จากการปรับลดมุมมอง (Outlook)
หากผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ เป็น นายวิทัย จริง อาจได้เห็นการสอดประสานนโยบายการคลังอย่างราบรื่นตามสเปกของ "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง" เพราะในแบงก์ชาติตอนนี้มี "นายสมชัย สัจจพงษ์" อดีตปลัดกระทรวงการคลัง นั่งในตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติไปรออยู่แล้ว
ทันทีที่ชื่อของ "ว่าที่แบงก์ชาติคนใหม่" ปรากฏขึ้น เอกชนและนักวิชาการก็เริ่มส่งเสียงท้วงติง นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ TDRI กล่าวว่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ควรมีคุณสมบัติเรียงลำดับตามความสำคัญ ดังนี้
- มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ทำงานตอบสนองนโยบายของฝ่ายการเมือง
- มีความรู้ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ ของการเป็น "นายธนาคารกลาง" ที่ต้องมองภาพใหญ่ได้ ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพ โดยไม่ละทิ้งการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ไม่ต่ำกว่าระดับศักยภาพ
- รู้ความเป็นไปในภาคเศรษฐกิจจริง ที่ไม่ใช่เพียงการดูตัวเลข
- ประสานงานกับนโยบายการคลังอย่างเหมาะสม
- รับฟังความเห็นของ Staff แต่ตัดสินใจ บนหลักการของตัวเอง

จึงคาดหวังว่า นายพิชัย จะมองคุณสมบัติ ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ที่ทำประโยชน์เพื่อชาติมากกว่าแค่สเปก "ทำงานกับกระทรวงการคลังอย่างราบรื่น" ตลอดจน ความเห็นของ "ท่าน" หรือ "ผู้มีอำนาจคนอื่น"
สอดคล้องกับ นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก กล่าวว่า ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่ควรดำรงซึ่งความเป็นอิสระ รักษาวินัยการเงิน ไม่ควรเป็นผู้ถูกการเมืองครอบงำ เพราะการดำเนินนโยบายเอื้อฝ่ายการเมืองมากเกินไป จะกระทบความน่าเชื่อประเทศและลุกลามสร้างความซับซ้อนของปัญหาในระบบเศรษฐกิจ
กระบวนการคัดเลือกผู้ว่าการแบงก์ชาติ เป็นกลไกถ่วงดุลอำนาจระหว่าง ธนาคารกลาง และ ฝ่ายการเมือง เพราะคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท. มีสัดส่วนจากอดีตข้าราชการเป็นหลัก อีกทั้ง "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง" ยังเป็นผู้ "ชี้ขาด" เคาะชื่อ ผู้ว่าฯ ธปท. ในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนนำเข้า ครม.
แต่วิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้แบงก์ชาติได้บทเรียนถึงการปิดช่องว่าง "สกัดกั้นการถูกการเมืองแทรกแซง" ผ่านการแก้ไขใน พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่4) พ.ศ.2551 โดยเฉพาะ การกำหนดคุณสมบัติต้องห้าม ในคณะกรรมการสำคัญต่าง ๆ เช่น ตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ห้ามเป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี
เงื่อนไขนี้ทำให้คณะกรรมการคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ต้องเลื่อนประชุมหลายครั้งเพื่อตรวจสอบข้อกฎหมาย และคณะกรรมการฯ จะลงมติให้ "นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง" เป็นประธานบอร์ด ธปท. แต่สุดท้ายกฤษฎีกาก็ต้องตีความกฎหมายใหม่และปัดตกให้ "นายกิตติรัตน์" ขาดคุณสมบัติ ต้องเลือกใหม่เป็นนายสมชัย สัจจงพงษ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง
เช่นเดียวกับตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ก็กำหนดคุณสมบัติข้อนี้เช่นกัน แต่การทำงานในฐานผู้ว่าการ ธปท. ที่อยู่ในคณะกรรมการสำคัญ และมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของประเทศ

แต่การพิจารณาใด ๆ ล้วนอยู่ในรูปแบบ "คณะกรรมการ" และในแต่ละคณะ มีทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ คนนอก และผู้บริหารคนใน ตลอดจนระบบการตรวจสอบภายในที่เข้มข้นเพื่อถ่วงดุลการทำงาน ภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่เคร่งครัด จึงไม่ใช่แค่ผู้ว่าการ ธปท.คนเดียว สามารถทำอะไรได้ง่าย
การสอดประสานการทำงาน ระหว่างนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง ที่ดี จึงไม่ใช่ "ส่งใครเข้าไป" แต่อาจหมายถึง "การสื่อสารกันให้มากขึ้น" อาจทำให้บรรยากาศการทำงานระหว่างแบงก์ชาติและรัฐบาลดีขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ และประชาชนเอง
วิเคราะห์โดย พรรณทิภา ภัทรวรเมธ
อ่านข่าวอื่น :