อังเคิล (Uncle) และสมาชิกในครอบครัว เครือญาติ มีความเชื่อมโยง และเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลัง โดยจดทะเบียนความเป็นเจ้าของ บริษัทในประเทศมากกว่า 114 แห่ง (ข้อมูลก่อนปี 2020) มีทุนจดทะเบียนรวมกันมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขนี้ยังไม่รวม 16 บริษัท (คิดเป็น 14 % ของทั้งหมด 114 บริษัท) ที่ไม่แสดงข้อมูลเกี่ยวกับทุนจดทะเบียน

จากข้อมูล ที่พบในขณะนั้น 103 บริษัท (คิดเป็น 90 %) เกี่ยวข้องกับสมาชิกในครอบครัว ซึ่งเข้าไปมีตำแหน่งในการบริหารโดยตรง เช่น เป็นประธานกรรมการ หรือ ผู้อำนวยการหรือในฐานะเป็นกรรมการบริหาร ถือหุ้นมากกว่า 25 %
นั่นหมายความว่า สมาชิกในตระกูลอังเคิล (Uncle) ย่อมมีอำนาจควบคุมอย่างเต็มตัว หรือ เรียกว่า มีอิทธิพลอย่างมากต่ออำนาจในการบริหาร
อีกจำนวน 44 บริษัท สมาชิกในครอบครัวของเค้า ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ถือหุ้นได้ และยังพบว่า สมาชิกในครอบครัว ถือหุ้นในระดับที่มีความสำคัญ หรือ ถือหุ้นอย่างน้อย 5 %
นอกจากนั้น ในจำนวน 44 บริษัท มีบริษัท 30 แห่ง (คิดเป็น 26 %) เกี่ยวข้องกับครอบครัว และจดทะเบียนเป็น บริษัทจำกัด ที่มีผู้ถือหุ้นคนเดียว นั่นหมายความว่า ทุนจดทะเบียนทั้งหมดถือครองโดยบุคคลเพียงคนเดียว โดยมีข้อมูลว่า สมาชิกครอบครัวอังเคิล (Uncle) เป็นกรรมการหรือประธานของทั้ง 30 บริษัทนี้
บริษัทที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวอังเคิล (Uncle) กระจายอยู่ในภาคธุรกิจที่ทำรายได้สูงที่สุดในกัมพูชา ได้แก่ การค้า การเงิน พลังงาน และการท่องเที่ยว รวมถึงภาคธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น การพนัน การก่อสร้าง เกษตรกรรม และการทำเหมืองแร่

ยังไม่มีเพียงเท่านี้ แต่บริษัทที่เชื่อมโยงกับสมาชิกในครอบครัวอังเคิล (Uncle) ยังมีความเชื่อมโยงธุรกิจกับแบรนด์ระดับโลกหลายแห่ง เช่น Visa, Unilever, Procter & Gamble, Honda, Heineken รวมถึงบริษัทอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ เช่น Apple, Canon และ Nokia

แต่ข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้ครับ น่าจะเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” เท่านั้น เพราะหลายบริษัท ใช้ชื่อบุคคลแทน นอมินี (Nominees) หรือ บริษัทที่ไม่เปิดเผยข้อมูล (shell companies) เพื่อซ่อนผลประโยชน์ทางธุรกิจของชนชั้นนำทางการเมืองในกัมพูชา
ในบรรดาบริษัทที่สมาชิกครอบครัวอังเคิล (Uncle) ควบคุมหรือมีส่วนเป็นเจ้าของ มีหลายแห่งที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการละเมิดทางสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง เช่น บริษัท Khun Sea Import Export ที่เกี่ยวข้องกับการยึดที่ดินและการไล่รื้อชาวบ้าน รวมถึง Garuda Group งตามรายงานของสื่อท้องถิ่น มีบทบาทในการใช้ความรุนแรงสลายการประท้วงของแรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอ
แม้ในส่วนทรัพยากรธรรมชาติของกัมพูชา ก็เป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งที่ครอบครัว อังเคิล (Uncle) ลงทุนอย่างหนัก มีข้อมูลว่า ครอบครัวอังเคิล (Uncle) มีหุ้นในหลายบริษัทด้านเกษตรกรรม โดยเฉพาะการผลิตยางพารา ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของประเทศรองจากข้าว
ครอบครัวนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทเหมืองแร่ 6 แห่ง ซึ่งได้รับสัมปทานในอย่างน้อย 5 จังหวัด ในขณะที่การขุดเจาะน้ำมันและแร่ของกัมพูชา อังเคิล (Uncle) ก็มีแผนจะลงทุนในพื้นที่ทางทะเล และบางส่วนยังคงเป็นพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลกับประเทศไทย ผ่านการร่วมลงทุนกับบริษัทสัญชาติสิงค์โปร์

ด้านอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในกัมพูชา พบการลงทุนรวมมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลปี 2016) ภาคธุรกิจนี้ ครอบครัวอังเคิล (Uncle)
มีบริษัทอย่างน้อย 7 แห่ง ถูกรายงานว่า มีการทุจริตอย่างกว้างขวาง โดยชนชั้นนำที่ร่ำรวยสามารถจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่เพื่อละเลยกฎระเบียบต่าง ๆ ได้
ด้านสื่อสารมวลชนของกัมพูชา อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองและธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ โดยหลายคนเป็นเจ้าของกิจการสื่อเอกชน ครอบครัวอังเคิล (Uncle) เป็นเจ้าของเต็มรูปแบบของบริษัทสื่อ 2 แห่ง คือ Bayon Media และ Kampuchea Thmey ทำให้สามารถกระจายเสียงและเผยแพร่เนื้อหาได้ทั้งในรูปแบบโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์
เขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zones-SEZs) สมาชิกในครอบครัวอังเคิล (Uncle) และผู้ใกล้ชิดยังครอบงำพื้นที่ SEZ ของกัมพูชา ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการผลิตโดยเฉพาะ
โดยโรงงานและที่พักคนงานตั้งอยู่ใกล้กัน ในเขต SEZ นี้ มีกฎหมายการค้าและธุรกิจที่แตกต่างจากพื้นที่อื่นของประเทศ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี หลายประการ เช่น การยกเว้นภาษีนำเข้าและ VAT แก่นักลงทุน

จากมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งหมดของกัมพูชา ประมาณ 12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ราว 10 % มาจากเขตเศรษฐกิจพิเศษเหล่านี้ บริษัทที่ต้องการพัฒนาและบริหารเขต SEZ จะต้องได้รับการอนุมัติจาก สภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (Council for the Development of Cambodia-CDC)
ซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีระดับสูงหลายคน และมีฮุน เซน เป็นประธาน โดยสภานี้มีหน้าที่พิจารณาใบสมัครลงทุนและอนุมัติสิทธิประโยชน์ ส่งผลให้สมาชิกของสภามีอำนาจอย่างมากในการชี้ขาดการลงทุนในประเทศ
ปัจจุบันกัมพูชามีเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ได้รับการอนุมัติทั้งหมด 34 แห่ง ต่างจากประเทศอื่น ๆ ตรงที่ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยบริษัทเอกชน ไม่ใช่รัฐบาล จากเขต SEZ ทั้งหมด 31 แห่งที่มีข้อมูลเปิดเผย พบว่า อย่างน้อย 12 แห่ง ถูกจัดสรรให้กับนักธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับครอบครัวฮุน หรือพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP)
ตัวอย่างเช่น
• ดาย เฉินดาวี (หรือ ฮก เฉินดาวี) ภรรยาของ ฮุน มานิช และแม่ของเธอ เมน พีคเดย์ ได้รับใบอนุญาตในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของบริษัท D & M (Bavet) SEZ Co มูลค่า 52 ล้านดอลลาร์ ในจังหวัดสวายเรียง
• บริษัท NLC Import Export ซึ่งมี เหลียง วุช เฉิง พี่สะใภ้ของฮุน เซน เป็นประธาน ถือครองเขต SEZ อีกแห่งในจังหวัดสวายเรียง โดยข้อมูลของรัฐบาลระบุว่ามีทุนจดทะเบียน 13 ล้านดอลลาร์
ภาคพลังงานของกัมพูชา ครอบครัวอังเคิล(Uncle) ใช้เป็นแหล่งลงทุน ราคาค่าไฟฟ้าในกัมพูชานั้นอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในภูมิภาค และยังติดอันดับต้น ๆ ในราคาสูงที่สุดของโลกด้วย เช่น พบข้อมูลว่า ซก พุทธิวิวัฒน์ (Sok Puthyvuth) สามีของ ฮุน มะลี่ (Hun Maly) เป็นประธานของบริษัท Soma Energy ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ของกัมพูชาระบุว่า มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ฮุน โต (Hun To) ซึ่งเคยถูกกล่าวหาว่า เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดและฟอกเงินในระดับนานาชาติ แต่ข้อกล่าวหาที่เขาได้ปฏิเสธ มีชื่อเป็นประธานบริษัทน้ำมัน LHR Asean Import Export และยังเป็นตัวแทนและกรรมการของบริษัท LHR Asean Investment ซึ่งบริษัทหลังนี้ดำเนินกิจการเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกัมพูชา
Cambodia Electricity Private ซึ่งเป็นผู้จัดหาพลังงานไฟฟ้าภายในประเทศรายใหญ่อันดับสองของกัมพูชา เป็นบริษัทร่วมทุนของ 3 ตระกูลชนชั้นนำ ได้แก่ ครอบครัวฮุน ครอบครัวของ ฮก ลุนดี (Hok Lundy) อดีตผู้บัญชาการตำรวจที่ผู้คนเกรงกลัว และครอบครัวของ ลีย่งพัฒน์ (Ly Yong Phat) สมาชิกวุฒิสภาจากพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP)
บริษัทนี้บริหารโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดใกล้กรุงพนมเปญ และขายกระแสไฟฟ้าให้กับผู้ให้บริการพลังงานของรัฐคือ Electricité du Cambodg โดยกิจการดังกล่าวถือครองโดยลูกของฮุน เซน 3 คน ได้แก่:
• ฮุน มานิช (Hun Manith)
• ฮุน มานา (Hun Mana)
• ฮุน มะลี่ (Hun Maly)
รวมทั้ง เมน พีคเดย์ (Men Pheakdey) ซึ่งเป็นทั้งภรรยาม่ายของฮก ลุนดี และแม่ยายของฮุน มานิช และญาติของวุฒิสมาชิกลีย่งพัฒน์อีก 2 คนก็เป็นผู้ถือหุ้นร่วมด้วย

ดาย วิชัย (Dy Vichea) สามีของมานา และลูกชายของฮก ลุนดี เคยถือหุ้นในบริษัทนี้เช่นกัน ก่อนจะลาออกในปี 2013
ครอบครัวอังเคิล ยังมีความเชื่อมโยงกับบริษัทน้ำมัน Kampuchea Tela โดยที่ บุญรันย์ (Bun Rany) เคยเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทนี้ ก่อนจะลาออก
เหมือง ก่อเพียก (Moeung Kompheak) อดีตสามีของ ฮุน มานา (Hun Mana) และเป็นบุตรชายของหัวหน้าฝ่ายโลจิสติกส์และการเงิน กระทรวงกลาโหม เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัทนี้ ก่อนจะหย่ากับมานา
ในปี 2004 สื่อท้องถิ่นรายงานว่า Kampuchea Tela ได้ลงนามในข้อตกลงจัดหาน้ำมันให้แก่กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลัง
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังระบุว่า ซก พุทธิวิวัฒน์ (Sok Puthyvuth) เป็นประธานบริษัทที่ชื่อว่า Tela E & P
ฮุน มานา ลูกสาวคนโตของฮุน เซน เป็นสมาชิกครอบครัวที่ถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ มากที่สุด มีผลประโยชน์ในบริษัททั้งหมด 22 แห่ง ซึ่งมีทุนจดทะเบียนรวมกันมากกว่า 66 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในบริษัทราว 18 แห่งจากทั้งหมด 22 แห่งนั้น มานาถูกระบุให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานหรือกรรมการบริษัท ซึ่งทำให้เธอมีอำนาจควบคุมการตัดสินใจของบริษัทเหล่านั้น
ผลประโยชน์ทางธุรกิจของเธอครอบคลุมหลายภาคส่วนสำคัญของกัมพูชา เช่น พลังงาน ก่อสร้าง การท่องเที่ยว บริการทางการเงิน และการพนัน
ฮุน มานา เป็นหนึ่งในสองผู้ทรงอิทธิพลทางสื่อในกัมพูชา ที่มีธุรกิจครอบคลุมทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ เธอเป็นประธานและถือหุ้น 100 % ในบริษัทสื่อ Bayon Media Hight System
บริษัทนี้ดำเนินการออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ 3 ช่อง ได้แก่ Bayon TV, BTV News และ ETV รวมทั้งวิทยุ Bayon Radio ซึ่งถือเป็นกระบอกเสียงสำคัญของพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ฮุน มานายังเป็นประธานและถือหุ้นเต็มในหนังสือพิมพ์ Kampuchea Thmey Daily ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ภาษากัมพูชา ที่ได้รับความนิยมสูงสุด และมีแนวทางสนับสนุนพรรค CPP เช่นกัน
เธอยังเป็นประธานบริษัท Bayon CM Organizer ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการตลาดและการจัดงาน และถือหุ้นร่วมกับบริษัทไทยอย่าง CMO Group โดยมานาเป็นประธานบริษัทและถือหุ้น 25 % (ภาพ 4 สรุป)

ฮุน โต หลานชาย ถูกกล่าวหาพัวพันกับการค้ายาเสพติดรายใหญ่เฮโรอีน และการฟอกเงิน โดยยาเสพติดถูกลักลอบขนส่งในสินค้าท่อนซุง ส่งออกไปออสเตรเลีย และถูกเชื่อมโยงผ่านเส้นทางการเงิน เกี่ยวข้องกับกลุ่มเครือข่ายตัดไม้ทำลายป่าของกัมพูชา
แต่ข้อกล่าวหานี้เขาปฏิเสธ ฮุน โต ถูกกล่าวขานว่า เป็นหนุ่มเพลย์บอย มีรถยนต์หรูหลายคัน รวมถึง McLaren P1 รุ่นปรับแต่งพิเศษ ที่คาดว่ามีมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เขามีข่าว ว่า เป็นเจ้าของไนต์คลับชื่อดังของกลุ่มวัยรุ่นร่ำรวยในกรุงพนมเปญ ที่ชื่อ Spark Nightclub
นอกจากนี้ ฮุน โต ยังดำรงตำแหน่งประธานบริษัท 4 แห่ง และเป็นกรรมการของบริษัท LHR Asean Investment ซึ่งบริหารเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกัมพูชา
ฮุนโต ยังมีหนึ่งในสาม ของผู้บริหารระดับสูงใน Huione Group เป็นกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ใหญ่ แห่งหนึ่งในกัมพูชา ตามรายงาน ของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC และเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักของการธุรกรรมผิดกฎหมายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งเป็นภูมิภาคที่กำลังเผชิญกับปัญหาการค้ามนุษย์ และการฉ้อโกงทางอินเทอร์เน็ต และเป็นเค้าก็ลูกพี่ลูกน้องของ Hun Manet นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
ข้อมูลจาก UNODC อ้างถึง เงินหมุนเวียนจำนวนมาก เคลื่อนย้ายผ่าน Huione Pay ระบบการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Internet Banking) ภายใต้ Huione Group เงินจำนวนมาก มาจากกิจกรรมผิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงทางไซเบอร์ หรือ อาชญากรรมออนไลน์ เป็นเวลากว่าครึ่งทศวรรษ และเครือข่ายอาชญากรรมออนไลน์ เกี่ยวข้องกับ การหลอกลวง และแรงงานทาสหลายแสนคน ในธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้
ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสหรัฐอเมริกา ประกาศคว่ำบาตรทางการเงิน บริษัท ฮุยวัน กรุ๊ป โดยกล่าวหาว่ามีส่วนกับการฟอกเงิน อย่างน้อย 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือนสิงหาคม 2564 ถึงเดือนมกราคมปีนี้ ในจำนวนนี้กว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินที่มาจากธุรกิจหลอกลวงออนไลน์ หรือ สแกมเมอร์
อ้างอิง : Global witness 2016 / Humanity Research Consultancy 2025
รายงาน : ทีมข่าวสืบสวน ไทยพีบีเอส
อ่านข่าว : ตร.ไทยเปิดตัว "รีบโอนโจรยิ้ม" สู้ภัยไซเบอร์หลังกัมพูชาไม่ร่วมมือ
"ไทย-กัมพูชา" แยกกันไม่ได้ ต้องรีเซ็ตสัมพันธ์ "ลิ้น-ฟัน" ครั้งใหญ่