ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ตร.ไทยเปิดตัว "รีบโอนโจรยิ้ม" สู้ภัยไซเบอร์หลังกัมพูชาไม่ร่วมมือ

อาชญากรรม
14:22
257
ตร.ไทยเปิดตัว "รีบโอนโจรยิ้ม" สู้ภัยไซเบอร์หลังกัมพูชาไม่ร่วมมือ
อ่านให้ฟัง
05:51อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
จเรตำรวจเปิดตัวแคมเปญ "รีบโอนโจรยิ้ม" รณรงค์คนไทยรู้เท่าทันกลโกงคอลเซนเตอร์ ขณะที่กัมพูชายังคงเป็นฐานใหญ่ของมิจฉาชีพ ไม่ให้ความร่วมมือปราบปราม ไทยหันพึ่ง UNODC - อินเตอร์โพล ตรวจเข้มคนไทยที่เดินทางกลับจากกัมพูชา สกัดเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์

วันนี้ (26 มิ.ย.2568) สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดตัวแคมเปญ "รีบโอนโจรยิ้ม" เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงภัยคุกคามจากอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเฉพาะกลโกงจากเครือข่ายคอลเซนเตอร์ที่สร้างความเสียหายอย่างหนักทั้งในไทยและทั่วโลก แคมเปญนี้มุ่งสร้าง ภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล ให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย งานเปิดตัวจัดขึ้นอย่างคึกคัก โดยมีศิลปิน นักแสดง และอินฟลูเอนเซอร์เข้าร่วมจำนวนมาก เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์และขยายการรับรู้ถึงภัยกลโกงในโลกออนไลน์

อ่านข่าว : เปิดโครงข่าย ลาสบอส Scambodia "ธุรกิจ-อิทธิพล" ตระกูลฮุน

พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์และศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นประธานในพิธี ขณะที่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวเปิดงานและให้ความรู้เกี่ยวกับกลวิธีของมิจฉาชีพ รวมถึงแนวทางการป้องกันภัยไซเบอร์

"กัมพูชา" ฐานคอลเซนเตอร์ใหญ่สุดในโลก ไร้ความร่วมมือ

พล.ต.อ.ธัชชัย เปิดเผยว่า ปัจจุบัน "กัมพูชา" เป็นฐานที่ตั้งหลักของเครือข่ายคอลเซนเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตามข้อมูลจากสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่าอาชญากรรมไซเบอร์จากกัมพูชาสร้างความเสียหายทั่วโลกกว่า 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเทศไทยเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่มีผู้เสียหายมากที่สุด การปิดด่านชายแดนและตัดสัญญาณโทรคมนาคม เช่น อินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าในพื้นที่ติดต่อกัมพูชา ส่งผลให้ยอดผู้เสียหายจากคอลเซนเตอร์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตาม ความพยายามประสานงานกับทางการกัมพูชาเพื่อปราบปรามเครือข่ายเหล่านี้ยังไม่ได้รับความร่วมมือ โดยเฉพาะกรณีตึกสูง 18-25 ชั้นในกัมพูชาที่ถูกระบุว่าเป็นศูนย์กลางของเครือข่าย ปัจจุบัน ตำรวจไทยอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอศาลออกหมายจับเจ้าของตึกตามกฎหมายไทย

การขยายผลไปถึงกลุ่มนายทุน โดยเฉพาะ ฮุยวัน กรุ๊ป ซึ่งถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินของเครือข่ายคอลเซนเตอร์ ยังเผชิญอุปสรรค เนื่องจากข้อมูลจาก สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ยังไม่เพียงพอต่อการดำเนินคดีตามกฎหมาย ประกอบกับบริษัทดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย ทำให้การสืบสวนมีความซับซ้อน

ตำรวจไทยจึงวางแผนใช้กลไกของ UNODC และ อินเตอร์โพล ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาเป็นสมาชิก เพื่อบังคับใช้กฎหมายและกดดันให้กัมพูชาดำเนินการปราบปรามเครือข่ายเหล่านี้อย่างจริงจัง

พล.ต.ท.ไตรรงค์ ระบุว่า แม้ยอดผู้เสียหายจะลดลงจากมาตรการปิดด่านและตัดสัญญาณ แต่ภัยคุกคามจากคอลเซนเตอร์ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการหลอกลวงผ่านโทรศัพท์และข้อความ SMS ที่พบมากถึง 460,000 ครั้ง/วัน ในปี 2567 ตามข้อมูลจาก Whoscall ตำรวจไซเบอร์จึงเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคนไทยที่เดินทางกลับจากกัมพูชา เพื่อคัดกรองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายคอลเซนเตอร์หรือมีหมายจับในข้อหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือไม่

มาตรการเชิงรุกและความร่วมมือระหว่างประเทศ

นอกจากแคมเปญ "รีบโอนโจรยิ้ม" ที่มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ ตำรวจไทยยังได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการสืบสวน โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น TRM Labs เพื่อตามรอยเส้นทางการเงินของมิจฉาชีพ ความร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น FBI และทางการจีน ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เช่น การจับกุมเครือข่ายมัลแวร์ "911 S5" และการส่งตัวผู้ต้องหาคอลเซนเตอร์กว่า 889 ราย จากเมียนมาไปยังจีน

นอกจากนี้ การจับกุมครั้งใหญ่ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2568 ซึ่งช่วยเหลือชาวต่างชาติ 215 คน รวมถึงคนไทย 109 คน แสดงถึงความสำเร็จของความร่วมมือไทย-กัมพูชาในบางกรณี

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ เนื่องจากเครือข่ายคอลเซนเตอร์บางส่วนย้ายฐานจากกัมพูชาเข้าไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนอย่างจังหวัดตาก ตำรวจจึงต้องเพิ่มการลาดตระเวนไซเบอร์และประสานงานกับหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการใช้แคมเปญ "Thais Aware" และศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ (AOC 1441) เพื่อให้คำแนะนำและรับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง

อ่านข่าวอื่น :

ศบ.ทก.แจงจับ 2 ชาวกัมพูชา จ่อเยียวยาภาคเอกชน-ผู้ประกอบการ

ยิงทำลาย "วัตถุต้องสงสัย" พบวางที่สาธารณะในภูเก็ต-กระบี่