ทันทีที่ "อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พ้นตำแหน่งรมว. มหาดไทย "สมศักดิ์ เทพสุทิน" สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะรมว.สาธารณสุข ก็เซ็นยกเลิกคำสั่งกัญชาเสรี และมีแนวโน้มสูงว่า กัญชา จะกลับไปเป็นยาเสพติดอีกครั้ง อาจถือเป็นจุดอวสานของสายเขียว

9 มิ.ย. 2565 รัฐบาลสมัยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และ อนุทิน นั่งเก้าอี้รมว.สาธารณสุข ได้เสนอนโยบายปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด อนุญาตให้ปลูกกัญชาได้บ้านละ 6 ต้น พร้อมสัญญาประชาคมที่จะทำให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความเจ็บป่วยและความยากจนในคราเดียวกัน โดยกำหนดให้ "ทุกส่วนของกัญชา" ไม่ถือว่าเป็นยาเสพติด
โดย“อนุทิน” ย้ำในขณะนั้นว่า การปลดล็อกกัญชาจะเป็นไปเพื่อประ โยชน์ทางการแพทย์และเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยไม่เกี่ยวกับการนัน ทนาการซึ่งมีทั้งเสียงสนับสนุนและต่อต้าน
แต่ผ่านไป 3 ปี จนมาถึงรัฐบาลเพื่อไทยในปัจจุบัน มี "สมศักดิ์"เป็นรมว. สาธารณสุข ได้ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบ คุม(กัญชา) พ.ศ.2568 เป็นการปรับปรุงจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565 ลงวันที่ 11 พ.ย.2565 ที่กำหนดให้กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุมที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย หรือมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล สมัยนั่งเก้าอี้รมว. สาธารณสุข เสนอนโยบายปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด อนุญาตให้ปลูกกัญชาได้บ้านละ 6 ต้น
นายอนุทิน ชาญวีรกูล สมัยนั่งเก้าอี้รมว. สาธารณสุข เสนอนโยบายปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด อนุญาตให้ปลูกกัญชาได้บ้านละ 6 ต้น
ก่อนหน้านี้เคยมีความพยายามจะนำ กัญชากลับมาเป็นยาเสพติด ตั้งแต่สมัย เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากเกิดความขัดแย้งกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ที่ผลักดันเรื่องนี้ แต่หลังพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาล รัฐบาลเพื่อไทยออกประกาศกระทรวงฉบับใหม่แก้ไขฉบับเดิม นำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดอีกครั้ง
โดยในประกาศกระทรวงดังกล่าวระบุว่า “เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ประกอบกับปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายใดมาใช้ควบคุมเป็นการเฉพาะ เพื่อมิให้ใช้ไปในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ จึงควรมีการควบคุมไม่ให้นำกัญชาเฉพาะส่วนที่เป็นช่อดอกไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ของการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรดังกล่าว”

เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ ชี้ "พิษกัญชา" ทำคนป่วยเพิ่ม
ล่าสุดเครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ ประชาชน ต่อต้านยาเสพติด ออกมาตั้งคำถามว่าควรนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดหรือไม่ หลังจากที่รัฐบาลปลดล็อคกัญชาจากการเป็นยาเสพติดตั้งแต่ 9 ก.ย.2565 โดยระบุบว่า มีข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นมากมาย เมื่อเทียบกับก่อนปลดล็อคเสรี ไม่ว่าจะเป็น จำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจากอาการเป็นพิษจากกัญชาที่เพิ่มขึ้น ถึง 6-7 เท่า และมีจำนวนผู้ป่วยที่เสพติดกัญชาเพิ่มขึ้นอีก 2-5เท่า
ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยโรคจิตจากการใช้กัญชาเพิ่มขึ้น3-5 เท่า นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้กัญชาในจังหวัดท่องเที่ยวเพิ่มถึง 22 เท่า ทำให้ต้นทุนในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 5 เท่าเช่นกัน
โดยเครือข่ายแพทย์ นักวิชาการและภาคประชาชน มองว่า การที่ผู้สนับสนุนนโยบายกัญชาเสรีอ้างว่าเพื่อใช้ประโยชน์ขสกกัญชาในทางการแพทย์และการที่ทำกัญชากลับมาบรรจุเป็นยาเสพติดจะทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้นั้น ประเทศไทยบรรจุกัญชาให้อยู่ภายใต้การควบคุม 100% ก่อนปี2562 ซึ่งตั้งแต่ปี2562 กัญชาอยู่ภายใต้นโยบายทางการแพทย์ คือ ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ แต่ใช้เพื่อสันทนาการไม่ได้

โดยนโยบายกัญชาแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ หนึ่ง กัญชาเป็นยาเสพติด ห้ามใช้ประโยชน์จากกัญชา 100% สอง กัญชาเป็นยาเสพติดแต่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้ เช่น ทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์ได้ และสาม กัญชาไม่เป็นยาเสพติด ใช้ทางการแพทย์ได้ ใช้เพื่อสันทนาการและทำธุรกิจกัญชาเพื่อสันทนาการได้ ดังนั้นการควบคุมมากน้อยขึ้นอยู่กับการออกกฎหมายหรือกฎระเบียบมาบังคับ
แต่ปี 2565 รัฐบาลมีนโยบายให้กัญชาเสรี ประชาชนทุกเพศทุกวัยสามารถเข้าถึงกัญชาได้อย่างเสรี สามารถสูบกัญชาเพื่อสันทนาการโดยไม่ผิดกฎหมายยาเสพติดใดๆได้
การที่ผู้สนับสนุนกัญชาเสรีอ้างว่าไม่ได้ต้องการให้กัญชาเพื่อสันทนาการอย่างจริงใจ แค่เพียงต้องการประโยชน์จากกัญชาในทางการแทพย์เท่านั้น จะต้องยอมรับนโยบายนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดที่ต้องขออนุญาตให้ใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์อย่างเต็มใจ

นายสมศักดิ์ เทพสุทินทร์ รมว.สาธารณสุขคนปัจจุบัน ได้ ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม(กัญชา) พ.ศ.2568
นายสมศักดิ์ เทพสุทินทร์ รมว.สาธารณสุขคนปัจจุบัน ได้ ลงนามในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม(กัญชา) พ.ศ.2568
ซัด "สาธารณสุข" สารตั้งต้นความไม่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม การปลดล็อคกัญชาจากการเป็นยาเสพติดที่ประกาศจากกระทรวงสาธารณสุขเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น เนื่องจากคณะกรรมการป.ป.ส มีมติให้รอให้มีกฎหมายกัญชาออกมาบังคับใช้ก่อน จึงจะปลดล็อกกัญชาจากการเป็นยาเสพติดได้ เพื่อไม่ใช้เกิดสุญญากาศในการควบคุมกัญชา แต่ปรากฏว่า รมว.สาธารณสุขในขณะนั้น ยังคงเดินหน้าปลดล็อคกัญชาเสรี แม้ว่า ป.ป.ส. จะทำหนังสือทักท้วงอย่างเป็นทางการมาแล้วก็ตาม
ดังนั้นนโยบายการนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติดในทันทีในขณะนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชน และประชาชนที่ไม่ใช้กัญชา ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แล้วจึงดำเนินการออกแบบกฎหมายกัญชาที่เหมาะสมกับประเทศ

สำหรับข้อโต้แย้งของผู้ที่ดำเนินธุรกิจกัญชาหรือผู้ที่ปลูกกัญชาแล้วกังวลว่าจะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ มองว่าไม่ใช่เหตุผลในการหยุดยั้งนโยบายนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด เพราะผู้ที่ทำธุรกิจจะต้องประเมินความเสี่ยงและความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองทั้งทางด้านกำไรและขาดทุน
และหากกำหนดบทเฉพาะกาล เช่น อนุโลม 3-6 เดือน สำหรับกัญชาที่ปลูกไว้แล้ว แต่ไม่ให้ปลูกใหม่ ส่วนกัญชาที่ปลูกไว้แล้วจะตายโดยธรรมชาติเพราะกัญชาเป็นพืชล้มลุกเป็นการบรรเทาความเสียหายเชิงเศรษฐกิจที่เพียงพอแล้ว
สิ่งที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงคนทุกกลุ่ม ทั้งผู้ปลูก และผู้ทำธุรกิจกัญชามีจำนวนหลักพันหลักหมื่นเท่านั้น แต่เยาวชนที่สมองถูกทำลายด้วยกัญชา ผู้ปกครองที่ต้องการใช้บุตรหลานเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี หรือแม้แต่ครูบาอาจารย์ที่ต้องสั่งสอนลูกศิษย์ หมอพยาบาลที่ต้องดูแลผู้ป่วย หลายสิบล้านคน นักการเมืองต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกลไม่ใช้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้นมาบดบังผลกระทบสังคมในระยะยาว

เสพติดกัญชา ป่วยพุ่ง 6-7 เท่า
ทั้งนี้ ข้อมูล ที่สะท้อนถึงปัญหาจากการปลดล็อคกัญชาเสรีของรัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในสมัยนั้น พบว่า จำนวน ผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในรายเดือนที่มารับการรักษาด้วยอาการเป็นพิษจากกัญชาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันหลังปลดล็อคกัญชาเสรี และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 6-7 เท่า
ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยนอกที่มารับการรักษาด้วยอาการเป็นพิษ เพิ่มขึ้น 52 ราย/เดือน ในเดือนพ.ค.2565 เป็น 342 ราย/เดือน ในเดือนก.พ.2566 เพิ่มขึ้น 6.6 เท่าหลังมีการปลดล็อคกัญชาเสรี และในจำนวนนี้มีผู้ป่วยในรักษาด้วยอาการเดียวกันเพิ่มขึ้น 18 ราย/เดือน ในเดือนพ.ค.2565 เป็น 132 ราย/เดือน ในเดือนก.พ.2566 เพิ่มขึ้น 7.3 เท่า หลังปลดล็อคกัญชาเสรี

นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยเสพติดกัญชาที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขต่อปีเพิ่มขึ้น 2-5 เท่า และผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการโรคจิตจากการใช้กัญชาเพิ่มขึ้น 3-5 เท่า โดยมีตัวเลขผู้ป่วยนอกที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการติดกัญชาต่อปีเพิ่มขึ้นจาก 16,643 คนในปี2562 เพิ่มขึ้นเป็น 32,634 คนในปี2566 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า
ในขณะที่ผู้ป่วยในที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการติดกัญชาเพิ่มต่อปีจาก 1,137 คนในปี2562 เพิ่มเป็น 5,924 คนในปี2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ส่วนผู้ป่วยนอกที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการโรคจิตจากการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นจาก 6,585 คนในปี2562 เพิ่มเป็น 20,502 คนใน ปี2566 หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่า และ ผู้ป่วยในที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการโรคจิตจากการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นจาก 742 คนในปี2562 เพิ่มเป็น 3,989 คนในปี2566 หรือเพิ่มขึ้น 5 เท่า

ตัวเลขดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า จำนวนผู้ป่วยที่ใช้กัญชา เพิ่มขึ้นอย่างเนื่อง ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าตกใจ ที่คนไทยเข้าถึงยาเสพติดง่ายขึ้นเพราะการปลดล็อคกัญชาเสรี ยังไม่รวมถึงปัญหาอาชญากรรมที่พุ่งสูงขึ้นจากการใช้ยาเสพติด
ในขณะที่จังหวัดท่องเที่ยว พบว่า การที่มีกัญชาเสรีทำให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงกัญชาง่ายขึ้น ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า มีจำนวนผู้ป่วยต่อเดือนที่เข้ารับการรักษาด้วยอาการที่เกิดจากการใช้กัญชาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดท่องเที่ยว เพิ่มขึ้นถึง 22เท่า
หลังที่รัฐบาลปลดล็อคกัญชาเสรี จากเดิมมีผู้ป่วยเพียง 4 คนในเดือนมิ.ย.2565( เดือนที่มีการปลดล็อกกัญชาเสรี) เพิ่มขึ้นเป็น 87 คนในเดือนเม.ย.2567 นั้นหมายความว่าหลังปลดล็อคกัญชาเสรี นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงกัญชาง่ายขึ้น โดยผู้ป่วยทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหานโยบายกัญชาเสรีส่งผลระทบทางลบต่อธุรกิจท่องเที่ยวของไทยในอนาคต

ต้นทุนรักษาพุ่งจาก 3.2-3.8 พันล้าน เป็น 2.1หมื่นล้าน
ข้อมูลจากสมาคม จิตแพทย์แห่งประเทศไทย เปิดตัวเลขต้นทุนการรักษาผู้ป่วยก่อนปลดล็อคกัญชาเสรี ตั้งแต่ปี 2562-2564 พบว่ามีค่าใช้จ่ายเพียง 3,200-3,800 ล้านบาท แต่หลังจากที่มีการปลดล็อคกัญชาเสรี ปี2565-2566 ค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยเกี่ยวกับการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นถึง 15,000-21,000 ล้านบาท หรือสูงขึ้นถึง 5 เท่า
สำหรับ 64 รายชื่อเครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชนต่อด้านยาเสพติดที่ออกมาหนุนให้มีการยกเลิกนโยบายกัญชาเสรี เช่น นพ.ชาตรี บานชื่น อดีตกรรมการแพทย์อดีตอธิบดีกรมสุขภาพจิต และอดีตอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ,ดร.วิโรจน์ สุ่มใหญ่ ที่ปรึกษาคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ สหประชาชาติ

, ศ.นพ.มานิต ศรีสุรภานนท์ ศาสตราจารย์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ,พล.ต.นพ.พิชัย แสงชาญชัย ประธานชมรมจิตเวชศาสตร์การเสพติดแห่งประเทศไทย, รศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย,อ.ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร หน่วยวิชาการเครือข่ายนักสาธารณสุขจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ (สปสส.) คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
หรือประธานเครือข่ายภาคประชาชนป้องกันภัยยาเสพติด นายไฟช้อน บุญรอด ,นายวัชรพงศ์ พุ่มชื่น นักพัฒนางานวิชาการ ศูนย์วิชาการสารเสพติดภาคเหนือ ,นพ.ไพศาล ปัณฑุกำพล สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทร์บรมราชนนี ,นพ.วิทยา จารุพูนผล อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น, พญ.ภาพิส เสงี่ยมพรพาณิชย์ ข้าราชการบำนาญ,นายวันชัย ตุลาธมุตติ วิศวกร,นายชัยโรจน์ วิฒนวรรณเวชช์ เจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับกระจก,นพ.ชื่อตรง เจียมจรรยา แพทย์เกษียณ อดีตอาจารย์คณะแพทย์ รามาธิบดี,นพ.วรพล ชีรณานนท์ ศิษย์เก่า คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล/แพทย์รพ.กรุงเทพ ,นพ.ศัลยเวทย์ เลขะกุล อดีตประธานราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกฯและอดีตเลขาธิการมูลนิธิคอหูจมูกชนบทฯ เป็นต้น
อ่านข่าว:
สิ้นสุดกัญชาเสรี! ประกาศใหม่ คุมช่อดอก ห้ามโฆษณา-ขายทั่วไป
สงครามอิสราเอล-อิหร่าน เขย่าเงินเฟ้อโลก ราคาน้ำมันพุ่ง
สงครามปิดด่าน "ไทย-กัมพูชา" เคราะห์ซ้ำการค้า "ตะเข็บชายแดน"