ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

มือถือใกล้ฉัน ! TRUE - AIS ศึก 2 ยักษ์ใหญ่พลิกโฉม ผงาดคุม 'อาณาจักร' โทรคมนาคม

สังคม
15:38
150
มือถือใกล้ฉัน ! TRUE - AIS ศึก 2 ยักษ์ใหญ่พลิกโฉม ผงาดคุม 'อาณาจักร' โทรคมนาคม
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ทิศทางตลาดโทรคมนาคมของไทย มีสัญญาณการผูกขาดมาระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่การควบรวมกิจการของ TRUE-DTAC แบบสมบูรณ์เมื่อ 1 มี.ค.2566 และการเข้าซื้อกิจการ ควบรวม 3BB ของกลุ่ม AIS แบบสมบูรณ์ เมื่อ 15 พ.ย.2566

ตอกย้ำด้วยผลการประมูลคลื่นความถี่ 5G และ 4G ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2568 ที่ใช้เวลาประมูลอย่างรวดเร็ว 78 นาทีเท่านั้น เริ่มต้นเวลา 09.30 น. และสิ้นสุดเวลา 10.48 น. โดยเคาะประมูล 2 ครั้งเท่านั้น ผลสรุป TRUE คว้าไป 2 ย่าน คือ 2300 และ 1500 MHz ส่วน AIS ได้ย่านเดียว คือ 2100 MHz ในขณะที่คลื่นความถี่ย่าน 850 MHz ไม่มีผู้สนใจเข้าร่วมการประมูล ทำให้ภาพรวมราคาประมูลจบรวมทั้งสิ้น 41,274 ล้านบาท (เป็นราคายังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

ผลประมูลคลื่นความถี่ที่ สำนักงาน กสทช.จัดขึ้น ล่าสุด ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ระบุว่า คณะกรรมการ (บอร์ด) กสทช. มีมติ "รับทราบ" ผลการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 850 MHz / 1500 MHz / 2100 MHz และ 2300 MHz โดยจะรับรองผลการประมูลในวันที่ 2 ก.ค.2568

 รายละเอียดการประมูล

  • คลื่นความถี่ ย่าน 2100 MHz บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) บริษัทย่อย ของ AIS คว้าไปครอง ได้รับการจัดสรรชุดคลื่นความถี่จำนวน 3 ชุด ในช่วงความถี่ 1965-1980 MHz คู่กับ 2155-2170 MHz ราคาสุดท้าย 14,850 ล้านบาท จากราคาขั้นต่ำที่ 4,500 ล้านบาท
  • คลื่นความถี่ย่าน 2300 MHz บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (Truemove H) บริษัทย่อยของ TRUE คว้าไปครอง ได้รับการจัดสรรชุดคลื่นความถี่ จำนวน 7 ชุด ในช่วงความถี่ 2300-2370 MHz ราคาสุดท้าย 21,770 ล้านบาท จากราคาขั้นต่ำที่ 2,596.15 ล้านบาท
  • ความถี่ย่าน 1500 MHz บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด คว้าไปอีกหนึ่งคลื่น ได้รับจัดสรรชุดคลื่นความถี่ จำนวน 4 ชุด ในช่วงความถี่ 1452-1472 MHz ราคาสุดท้าย 4,653.96 ล้านบาท จากราคาขั้นต่ำที่ 1,057.49 ล้านบาท

หลังจากนี้สภาพตลาดโทรคมนาคมจะเป็นอย่างไร ระดับการผูกขาดในตลาดจะมีความรุนแรงแค่ไหน จากการมี "ผู้เล่น" ยักษ์ใหญ่ในตลาดโทรคมนาคมเพียง 2 รายเท่านั้น ครอบครองคลื่นความถี่ 5G และ 4G ที่ให้บริการครอบคลุมทั้งโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ตและบริการด้านเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ และที่สำคัญกระทบต่อผลประโยชน์ "ผู้บริโภค" มีความเสี่ยงที่จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ทั้งอัตราค่าบริการและคุณภาพในการให้บริการ

ข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในประเทศไทย

  • TRUE-DTAC ปัจจุบันควบรวมกัน และใช้ชื่อแค่ TRUE มีจำนวน 49.4 ล้านเลขหมาย (ข้อมูล ณ สิ้นปี 2567)
  • AIS มี 45.7 ล้านเลขหมาย (ข้อมูล ณ ไตรมาส 1 ปี 2568)
TRUE ได้ส่วนแบ่งการตลาดไปกว่า 53% ส่วน AIS ประมาณ 45% ที่เหลือเป็น NT และ MVNO อีกเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์

ผลจากการประมูลทำให้ภาพรวมขณะนี้ “TRUE" กลายเป็นผู้ให้บริการที่มี "จำนวนย่านคลื่นความถี่" มากที่สุดในประเทศไทยและครบวงจร คือ 8 ย่านความถี่ ครอบคลุมทุกย่านตั้งแต่ต่ำ กลาง ไปจนถึงสูง

ส่วน "AIS" เป็นผู้ให้บริการ ที่มี "ปริมาณรวมของคลื่นความถี่" (Total Spectrum) มากที่สุด หากนับรวมคลื่น 26 GHz ด้วย คือ 1200 MHz (True มี 1000 MHz)

คลื่นความถี่ 2300 และ 1500 ของ TRUE และ 2100 MHz ของ AIS มีศักยภาพสูงมากอย่างไร จนทำให้ทั้ง 2 ค่ายทุ่มประมูลด้วยราคาสูงถึง 41,274 ล้านบาท

ทำไม คลื่น 850 MHz ถึงไม่มีผู้สนใจประมูล

  • ข้อจำกัดด้านเทคนิค เป็นย่านคลื่นต่ำ (Low-band) แม้ทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางได้ดี และครอบคลุมพื้นที่กว้าง แต่แบนด์วิดท์น้อย ส่งข้อมูลได้ช้ากว่าคลื่นย่านกลาง-สูง ไม่เหมาะกับบริการความเร็วสูง อย่าง 5G  และอุปกรณ์รองรับน้อยลง
  • ไม่มีความได้เปรียบเชิงธุรกิจในระยะยาว คลื่น 850 MHz เป็นคลื่นที่มีโครงสร้างพื้นฐานล้าหลัง ต้นทุนอัปเกรดสูง หากจะนำมาใช้กับ 4G หรือ 5G ต้องลงทุนใหม่เกือบทั้งหมด ทำให้ต้นทุนสูงมากเมื่อเทียบกับคลื่นใหม่ที่มีแบนด์วิดท์สูงกว่า นอกจากนี้ยังมีทางเลือกอื่นที่คุ้มค่ากว่า
  • พฤติกรรมผู้ใช้งานเปลี่ยนไป ผู้บริโภคยุคนี้เน้นการใช้งานดาต้า เช่น สตรีมมิ่งวิดีโอ HD, เกมออนไลน์, AR/VR ทำให้ความต้องใช้ คลื่นย่านกลาง-สูง ที่ให้ความเร็วสูงและแบนด์วิดท์กว้างกว่าเป็นที่ต้องการ

อย่างไรก็ตามคลื่น 850 MHz ไม่ใช่ "ไร้ประโยชน์" แต่ไม่เหมาะกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของโอเปอเรเตอร์ ในยุค 5G ที่เน้นบริการความเร็วสูง-แบนด์วิดท์กว้าง ผู้ประกอบการจึงไม่ให้ความสนใจ แม้คลื่นจะครอบคลุมกว้างและเคยใช้งานมาก่อน

หากต้องการใช้ในบางพื้นที่ห่างไกลหรือเป็นคลื่นสำรองในโครงข่ายอาจมีการใช้ในอนาคต แต่ไม่ใช่ "ตัวเลือกหลัก" ของการแข่งขันเชิงพาณิชย์ในยุค 5G

TRUE มีทั้งหมด 8 ย่าน คือ

คลื่นความถี่ต่ำ: 700 MHz, 900 MHz
คลื่นความถี่กลาง: 1500 MHz, 1800 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz, 2600 MHz
คลื่นความถี่สูง: 26 GHz

การที่ TrueMoveH เครือ TRUE คว้าคลื่นความถี่ 2300 MHz และ 1500 MHz มานั้น นับเป็นประโยชน์มาก ต่อ True และลูกค้าเพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ 4G และ 5G คลื่น 2300 MHz เป็นคลื่นย่านกลางที่มีแบนด์วิดท์ (เข้าใจง่ายๆ เปรียบเหมือนโครงข่ายถนน) กว้างถึง 70 MHz ช่วยเรื่องการรับส่งข้อมูลได้อย่างมหาศาล ทำให้การดาวน์โหลด อัปโหลด และการใช้งานอินเทอร์เน็ตโดยรวมเร็วขึ้นและเสถียรขึ้น

การได้คลื่นย่านความถี่ 2300 MHz และ 1500 MHz จะช่วยให้ TRUE มีปริมาณคลื่นเพียงพอจะรองรับการใช้งานดาต้าที่เติบโตต่อเนื่อง ทั้งในเมืองและนอกเมือง ที่สำคัญทำให้ TRUE มี Spectrum Portfolio (ชุดคลื่นความถี่) ที่ครอบคลุมและครบวงจรมากที่สุดในประเทศไทย รวมทั้งหมด 8 คลื่นความถี่ (ทั้งคลื่นความถี่ต่ำ-กลาง-สูง) รองรับการเติบโตของเทคโนโลยี 5G, AI, IoT และเทคโนโลยีล้ำสมัยอื่นๆ ในอนาคต นัยยะสำคัญจากผลประมูลครั้งนี้ ทำให้ TRUE ได้เปรียบในการบริหารจัดการต้นทุนระยะยาวจากต้นทุนเฉลี่ยต่ำลง

AIS มีทั้งหมด 7 ย่านความถี่ คือ

คลื่นความถี่ต่ำ: 700 MHz, 900 MHz
คลื่นความถี่กลาง: 1800 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz, 2600 MHz
คลื่นความถี่สูง: 26 GHz

สำหรับ AWN เครือ AIS ได้คลื่น 2100 MHz เพิ่มมาอีก 1 ย่าน เป็นการเสริมความแข็งแกร่งของเครือข่ายเดิมที่มีอยู่แล้ว ทำให้รองรับปริมาณผู้ใช้และเพิ่มความเร็วในการให้บริการได้ดีขึ้น

เมื่อรวมกับคลื่นอื่นๆ ที่ AIS มีอยู่แล้ว เช่น 700, 900, 1800, 2600 MHz และ 2300 MHz (ที่เช่าจาก TOT) จะทำให้ AIS มีคลื่นความถี่ที่หลากหลาย และเพียงพอต่อการให้บริการ 4G และ 5G ที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ เป็นข้อได้เปรียบ ทำให้ AIS มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น ลดปัญหาจุดอับสัญญาณ

การครอบครองคลื่นย่านความถี่กลาง (Mid Band) ที่รวมคลื่นกันได้ ทั้ง 1800 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz และ 2600 MHz เป็นคลื่นที่มีแบนด์วิดธ์กว้าง ให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่สูง เหมาะสำหรับการใช้งานดาต้าในพื้นที่ที่มีความหนาแน่น เช่น ใจกลางเมือง ห้างสรรพสินค้า หรือแหล่งชุมชน สำหรับการใช้งานที่ต้องการความเร็วสูงสุดและความหน่วงต่ำมากๆ เช่น การเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT จำนวนมากในพื้นที่จำกัด, Smart Factory, AR/VR, การผ่าตัดทางไกล หรือการใช้งานในสถานีรถไฟฟ้า/สนามบิน

จากผลการประมูลคลื่นความถี่ 3 ย่าน 1500 MHz, 2100 MHz, 2300 MHz ที่เพิ่งเกิดขึ้น โดยมี TRUE กับ AIS เป็นผู้ชนะการประมูลทั้งหมด ใช้เวลาประมูลเพียง 78 นาที และเคาะประมูล 2 ครั้งเท่านั้น หากพิจารณาในมิติของผู้บริโภคมีความเสี่ยงที่จะเสียเปรียบมากขึ้นในหลายๆ ด้าน โดยมีการตั้งข้อสังเกตจากหลายฝ่ายอย่างเข้มข้น ก่อนหน้านี้ สภาของผู้บริโภค ก็ยื่นศาลปกครองขอระงับการจัดประมูลแล้ว ด้านสหภาพฯ NT ได้ไปปักหลักอยู่หน้า กสทช. คัดค้านในระหว่างที่ สนง.กสทช.จัดประมูลกัน (29 มิ.ย.68) แม้แต่ นักวิชาการ หรือ สส.พรรคประชาชน อย่าง "ไอซ์ รัชนก" สส.ลิซ่า-ภคมน ต่างก็เคยทักท้วงเช่นกันถึงภาพรวมการจัดประมูลและแนวโน้มผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

แนวโน้มความเสี่ยงและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

  1. การแข่งขันที่ลดลงอย่างชัดเจน ตลาดโทรคมนาคมมีแนวโน้มจะผูกขาดมากขึ้นจากการมีผู้ชนะประมูลคลื่นความถี่เป็นเพียงสองรายใหญ่ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าตลาดโทรคมนาคมไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ "Duopoly" หรือการมีผู้เล่นหลักเพียงสองราย การแข่งขันในอดีตที่เคยมีผู้ให้บริการสามรายหายไปจากการควบรวม TRUE-DTAC และการประมูลครั้งนี้ยิ่งทำให้การแข่งขันลดน้อยลงไปอีก
  2. กลไกราคานิ่ง ไม่มีแรงจูงใจในการแข่งขันราคา เมื่อมีคู่แข่งน้อยรายผู้ให้บริการอาจไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันด้วยการลดราคาหรือเสนอโปรโมชันที่ดุดันเหมือนเมื่อก่อน เพราะลูกค้ามีทางเลือกจำกัด มีแนวโน้มที่ทั้ง 2 ค่ายจะเป็นผู้กำหนดราคาตลาด
  3. อำนาจการต่อรองของผู้บริโภคลดลง มีทางเลือกน้อย เมื่อเจอปัญหาการให้บริการตัวเลือกในการเปลี่ยนค่ายไม่มี และมีแนวโน้มที่จะได้รับเงื่อนไขการให้บริการที่ไม่แตกต่างกัน 
  4. คุณภาพบริการและการพัฒนานวัตกรรม การลงทุนพัฒนาอาจชะลอตัว  ผู้ให้บริการอาจไม่มีแรงจูงใจมากพอที่จะเร่งลงทุนในการพัฒนาโครงข่ายให้ครอบคลุมและมีคุณภาพสูงสุด หรือพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง ดังนั้น เมื่อไม่มีกลไกการแข่งขัน บริษัทมีแนวโน้มที่จะเน้นไปที่กำไรมากกว่า การขยายโครงสร้างพื้นฐาน หรือปรับปรุงโครงข่าย
  5. การจำกัดทางเลือกและอิสระของผู้บริโภค โปรโมชันและแพ็กเกจ ผู้บริโภคอาจพบว่าแพ็กเกจหรือโปรโมชันที่นำเสนอมีความหลากหลายน้อยลง และอาจต้องยอมรับเงื่อนไขที่ผู้ให้บริการกำหนด โดยไม่มีอำนาจในการต่อรองมากนัก การเข้าถึงบริการเสริม ผู้ให้บริการอาจเชื่อมโยงบริการเสริมต่างๆ เช่น คอนเทนต์ หรือแพลตฟอร์มพิเศษเข้ากับแพ็กเกจของตนเอง ซึ่งจำกัดทางเลือกในการเข้าถึงของผู้บริโภค

โดยรวมแล้ว การที่ตลาดโทรคมนาคมไทยเหลือผู้ให้บริการรายใหญ่เพียง 2 ราย อาจทำให้ผู้บริโภคตกอยู่ในภาวะ "จำยอม" ที่ต้องใช้บริการจากผู้ให้บริการที่มีอยู่ โดยปราศจากอำนาจในการต่อรองและทางเลือกที่หลากหลาย ซึ่งในที่สุดแล้วอาจนำไปสู่การเสียเปรียบทั้งในด้านราคา คุณภาพ และโอกาสในการเข้าถึงบริการที่ดีที่สุด

ในระยะยาว อาจเกิดการการจำกัดนวัตกรรมและผู้เล่นรายใหม่ (New Entrants) ทำให้ตลาดขาดพลวัตและโอกาสในการพัฒนาในระยะยาว หากรัฐไม่เข้ามากำกับดูแลอย่างเข้มข้น หรือไม่เปิดช่องให้ผู้เล่นรายเล็ก (MVNO, NT) เข้าร่วมแข่งขันอย่างแท้จริง ตลาดโทรคมนาคมไทยอาจเข้าสู่ภาวะผูกขาดเชิงโครงสร้าง

จะรับมือและแก้ปัญหาแนวโน้มนี้ อย่างไร ได้บ้าง ?

บทบาทของ "กสทช." เป็นหน่วยงานกำกับดูแล มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการออกมาตรการที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม เช่น

การกำกับดูแลราคา กำหนดเพดานราคาหรือมาตรการควบคุมราคาเพื่อไม่ให้ผู้ให้บริการขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม การกำกับดูแลคุณภาพบริการ กำหนดมาตรฐานคุณภาพบริการและบังคับใช้ให้ผู้ให้บริการปฏิบัติตาม
ส่งเสริมการแข่งขัน อาจพิจารณามาตรการส่งเสริมผู้เล่นรายย่อย หรือสร้างกลไกที่ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างแท้จริงในอนาคต

หลังจากการประมูลคลื่นความถี่ในวันนี้ที่ AIS และ TRUE ได้คลื่นไป สถานการณ์ตลาดโทรคมนาคมยิ่งตอกย้ำการมีผู้เล่นหลักเพียงสองราย ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง อยู่ในภาวะ "จำใจ" ยอมรับ สภาพ และมีความเสี่ยงที่จะเสียเปรียบมากขึ้น หากไม่มีการกำกับดูแลที่เข้มแข็งจาก กสทช. เพื่อสร้างสมดุลในตลาดและปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งกสทช. จะต้องมีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลและสร้างกลไกที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง

 

 

รายงานพิเศษ : ภัทราพร ตั๊นงาม / ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส
ภาพ : ปัญญา อินสอาดผล / ช่างภาพ ไทยพีบีเอส