เมื่อวันที่ 7 ก.ค.2568 ตามเวลาท้องถิ่น CNN รายงาน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ภายหลัง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีนำเข้าชุดใหม่จากหลายประเทศสำคัญทั่วโลก การประกาศดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีหลักทั้งหมดของสหรัฐฯ ปิดตัวในแดนลบ
โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลงร้อยละ 0.79 เป็นการลดลงที่แย่ที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนี Dow ปิดตัวลดลง 422 จุด หรือร้อยละ 0.94 และดัชนี Nasdaq Composite ซึ่งเน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ก็ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.92 เช่นกัน ดัชนีหลักทั้ง 3 นี้เผชิญกับวันที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์
มาตรการภาษีชุดใหม่ได้แก่การเก็บภาษีร้อยละ 25 จากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งมีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. การประกาศดังกล่าวส่งผลให้หุ้นร่วงลงตั้งแต่ช่วงกลางวัน และยังคงลดลงต่อเนื่องในช่วงบ่ายเมื่อทรัมป์ประกาศเก็บภาษีในอัตราที่แตกต่างกันไปตั้งแต่ร้อยละ 25-40 กับประเทศอื่น ๆ เช่น เมียนมา มาเลเซีย คาซักสถาน ลาว แอฟริกาใต้ และประเทศไทย
ปธน.ทรัมป์ ได้โพสต์บน Truth Social เพื่อแจ้งเกี่ยวกับมาตรการภาษีเหล่านี้ ซึ่งระบุว่าอัตราภาษีดังกล่าว อาจมีการปรับเปลี่ยน ทั้งขึ้นหรือลงได้
ผลกระทบจากมาตรการภาษีใหม่นี้ ปรากฏชัดในกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้อง โดยหุ้นที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง Toyota, Nissan และ Honda ปรับตัวลดลงร้อยละ 4, 7.16 และ 3.86 ตามลำดับ
ส่วนของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของเกาหลีใต้ หุ้นของ LG Display และ SK Telecom ก็ร่วงลงร้อยละ 8.3 และ 7.76 ตามลำดับเช่นกัน
นอกจากนี้ กองทุน Exchange-Traded Funds (ETFs) ที่บริหารจัดการโดย BlackRock ซึ่งติดตามตลาดหุ้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ แอฟริกาใต้ และมาเลเซีย ก็ปรับตัวลดลงร้อยละ 2.4, 3.56, 1.73 และ 1.97 ตามลำดับ โดยเฉพาะ ETFs ที่เน้นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และมาเลเซีย ถือเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ต้น เม.ย.ที่ผ่านมา
รอสส์ เมย์ฟิลด์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนจาก Baird ให้ความเห็นกับ CNN ว่าอัตราภาษีที่เสนอมานั้นสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก ส่งผลให้เกิดการเทขายหุ้นในวงกว้าง นอกจากตลาดหุ้นแล้ว ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.39 ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งวัดความแข็งแกร่งของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุล ได้รับประโยชน์และปรับตัวขึ้นร้อยละ 0.3
ขณะที่เงินเยนญี่ปุ่น, วอนเกาหลีใต้ และแรนด์แอฟริกาใต้ ล้วนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ดัชนี CBOE Volatility Index หรือมาตรวัดความผันผวนและความกลัวของตลาด ก็พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 8.4

ทำเนียบขาวได้ออกมาอธิบายถึงสถานการณ์นี้ โดยคาโรไลน์ ลีวิตต์ เลขาธิการฝ่ายสื่อมวลชนทำเนียบขาว กล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ จะลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อเลื่อนเส้นตายการเก็บภาษีจากวันที่ 9 ก.ค. ไปเป็นวันที่ 1 ส.ค. เพื่อสร้างกรอบเวลาสำหรับการเจรจาทางการค้า
สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ยังกล่าวกับ CNBC ว่า เขาคาดว่าจะมีการประกาศเพิ่มเติมหลายอย่างในอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า และเตือนว่าอัตราภาษีจะเด้งกลับ สูงขึ้นในวันที่ 1 ส.ค. หากไม่มีการทำข้อตกลงการค้า
แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเคยทำสถิติสูงสุดใหม่ถึง 4 ครั้งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โมฮิต คูมาร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์ประจำยุโรปของ Jefferies ประเมินว่า การประกาศครั้งนี้จะสร้างความไม่แน่นอนในระยะสั้น แต่เป็นแรงจูงใจให้เกิดข้อตกลงการค้า และเชื่อว่าการปรับฐานของหุ้นควรเป็นโอกาสในการซื้อ
อย่างไรก็ตาม สก็อตต์ เร็น นักยุทธศาสตร์ตลาดโลกจาก Wells Fargo Investment Institute แย้งว่าความเห็นที่เป็นเอกฉันท์ของวอลล์สตรีตนั้นมองโลกในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับแนวโน้มภาษี เร็นแสดงความกังวลว่าเมื่ออัตราภาษีคงที่ เศรษฐกิจอาจเริ่มชะลอตัวและการใช้จ่ายของผู้บริโภคอาจลดลง เขาแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในภาคส่วนที่มองว่ามีมูลค่าสูงเกินไป
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ ยังได้ประกาศเก็บภาษีเพิ่มเติมร้อยละ 10 สำหรับประเทศใด ๆ ที่เป็นพันธมิตรกับกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่ประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้
ลุกมาน โอตูนูกา นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสจาก FXTM กล่าวเตือนว่า หากอัตราภาษีเพิ่มสูงขึ้นเกินคาดและกระตุ้นความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย หุ้นอาจถูกถล่ม จิม แบร์ด ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Plante Moran Financial Advisors ย้ำว่าสถานการณ์ยังคงมีความผันผวนอย่างมากและอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยแจ้งให้ทราบล่วงหน้าน้อยที่สุด
อ่านข่าวอื่น :