เป็นความจริงที่ว่าโลกได้หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า "สงคราม" (War) ในการปะทะต่อสู้กันระหว่างประเทศมากขึ้น และหันมาใช้คำว่า "ความขัดแย้งด้วยอาวุธ" (Armed conflict) หรือความขัดแย้ง (Conflict) แทน การเปลี่ยนแปลงนี้มีรากฐานมาจากพัฒนาการของกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการก่อตั้งสหประชาชาติในปี 1945
ทำไมไม่ควรใช้คำว่า "สงคราม" ในการปะทะกันระหว่างประเทศ ?
ประการแรก การใช้คำว่า "ความขัดแย้ง" หรือ "ความขัดแย้งทางอาวุธ" นั้นกว้างกว่าและช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law - IHL) มีความเที่ยงตรงมากขึ้น โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ หรือการยอมรับสถานะสงครามจากคู่ขัดแย้ง
ข้อมูลจาก คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ระบุว่า ในอดีต การประกาศสงครามมีผลทางกฎหมายที่สำคัญมาก เช่น การนำกฎหมายสงครามทั้งหมดมาใช้ การบังคับใช้ความเป็นกลางของรัฐอื่น ๆ และการให้สิทธิ์ในการทำสงคราม (Belligerent rights) ซึ่งรวมถึงสิทธิ์ในการฆ่าโดยไม่แจ้งเตือน หรือการกักขังโดยไม่มีการพิจารณาคดี
ประการที่สอง รัฐต่าง ๆ มักหลีกเลี่ยงการประกาศหรือยอมรับสถานะ "สงคราม" เพราะการกระทำดังกล่าวอาจถูกมองว่าเป็นการยอมรับความล้มเหลวในการควบคุมสถานการณ์ภายในประเทศ หรือเป็นการให้สถานะแก่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ
นอกจากนี้ การประกาศสงครามยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อกฎหมายระหว่างประเทศอื่น ๆ เช่น สิทธิมนุษยชน พันธกรณีตามสนธิสัญญา กฎหมายความเป็นกลาง และปฏิบัติการของสหประชาชาติ
จะทำสงคราม ต้องประกาศให้ทราบ
ในเอกสารของ ที่ประชุมแห่งกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศ ในอดีต การประกาศสงครามเป็นหน้าที่ของรัฐอธิปไตย โดยบางประเทศอาจมีรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ประกาศ เช่น สหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม หลังการรับรองกฎบัตรสหประชาชาติ บทบาทของการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการได้ลดความสำคัญลงอย่างมากในกฎหมายระหว่างประเทศ
เนื่องจากกฎบัตรสหประชาชาติห้ามการใช้กำลังระหว่างประเทศ ยกเว้นเพื่อการป้องกันตนเองหรือภายใต้การอนุญาตของคณะมนตรีความมั่นคง
ปัจจุบัน สถานะของ "ความขัดแย้งทางอาวุธ" จึงถูกพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นบนพื้นดิน (De facto state of hostilities) โดยไม่จำเป็นต้องมีการประกาศหรือการยอมรับอย่างเป็นทางการ
เมื่อไหร่ถึงใช้สถานะ "ความขัดแย้ง" ?
กฎหมายระหว่างประเทศและศาลระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น International Criminal Tribunal for the former Yugoslavia (ICTY) ได้กำหนดเกณฑ์ในการพิจารณาว่าสถานการณ์หนึ่งเป็น "ความขัดแย้งทางอาวุธ" หรือไม่ โดยไม่สนใจแรงจูงใจทางการเมือง แต่ให้ความสำคัญกับ 2 องค์ประกอบหลัก คือ
1. การมีอยู่ของกลุ่มติดอาวุธที่มีการจัดตั้ง (Organized armed groups) หมายถึงกลุ่มที่มีโครงสร้างการบังคับบัญชาที่ชัดเจน มีความสามารถในการฝึกกำลังพล การสรรหาสมาชิก การสื่อสาร และการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ การใช้ความรุนแรงโดยบุคคลคนเดียว หรือกลุ่มบุคคลที่ไม่มีการจัดตั้ง เช่น กลุ่มอาชญากรหรือเหตุจลาจล จะไม่ถือเป็นความขัดแย้งทางอาวุธ
2. ระดับความรุนแรงของการปะทะ (Intensity of fighting) ต้องมีระดับความรุนแรงที่มากกว่าเหตุการณ์เล็กน้อย หรือการปะทะชายแดนที่ไม่สำคัญ ปัจจัยที่ใช้ประเมินความรุนแรง ได้แก่ จำนวนผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์, ประเภทและปริมาณของอาวุธที่ใช้, ระยะเวลาและขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของการสู้รบ, จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต, ขอบเขตของความเสียหายต่อทรัพย์สิน, การพลัดถิ่นของประชากรพลเรือน, และการเข้ามามีส่วนร่วมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อยุติการสู้รบ
หากทั้ง 2 เกณฑ์นี้ครบถ้วน สถานการณ์นั้นก็จะถูกจัดว่าเป็น "ความขัดแย้งทางอาวุธ" โดยอัตโนมัติ และกฎหมาย IHL จะถูกนำมาใช้เพื่อคุ้มครองผู้ตกเป็นเหยื่อ โดยไม่คำนึงถึงว่าใครเป็นผู้เริ่มการสู้รบ
ตัวอย่างการใช้คำว่า "Conflict" แทน "War"
- การปรับคำนิยามของสหรัฐฯ หลังเหตุการณ์ 11 ก.ย.2001
สหรัฐฯ ได้เปลี่ยนจากการใช้คำว่า "สงครามโลกกับการก่อการร้าย" (Global war on terror) เป็น "ความขัดแย้งทางอาวุธกับอัลกออิดะห์ ตอลิบัน และกองกำลังที่เกี่ยวข้อง" (Armed conflict with al-Qaeda, the Taliban, and associated forces)
- อิสราเอล-เลบานอน
คณะกรรมาธิการสอบสวนของสหประชาชาติในเลบานอนสรุปว่าการสู้รบที่เกิดขึ้นนั้นเป็น "ความขัดแย้งทางอาวุธระหว่างประเทศ" แม้ว่าอิสราเอลจะใช้คำว่า "สงคราม" ก็ตาม ศาลฎีกาของอิสราเอลในปี 2006 ยังได้ระบุว่าประเทศอยู่ใน "ภาวะความขัดแย้งทางอาวุธอย่างต่อเนื่อง" กับองค์กรก่อการร้ายต่าง ๆ
- การปะทะชายแดนและการก่อการร้าย
เหตุการณ์ความรุนแรงระดับต่ำ เช่น การปะทะกันระหว่างไทยและกัมพูชาในปี 2008-2009 หรือเหตุการณ์เรือรบเกาหลีใต้จมในปี 2010 มักถูกเรียกว่า "เหตุการณ์" (Incidents) หรือ "การปะทะ" (Clashes) หรือ "การใช้กำลังที่จำกัด" (Limited uses of force) แทนที่จะเป็นความขัดแย้งทางอาวุธเต็มรูปแบบและไม่ถูกจัดเป็น "ความขัดแย้งทางอาวุธ" (Conflict)
อย่างไรก็ตาม ยังมีบางกรณีที่ยังคงใช้คำว่า "สงคราม" ในบริบททางประวัติศาสตร์หรือภายในประเทศ เช่น สงครามอิรัก-อิหร่าน (1980-88) หรือสงครามเกาหลี (1950-53) แต่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่ สถานการณ์เหล่านี้จะถูกวิเคราะห์และบังคับใช้กฎหมายตามเกณฑ์ของ "ความขัดแย้งทางอาวุธ"
ผลเสียของการประกาศ "สงคราม"
ICRC ระบุว่า ในทางปฏิบัติ การประกาศ "สงคราม" อย่างเป็นทางการแทบไม่มีประโยชน์ทางกฎหมายแล้ว แต่กลับมีผลเสียและข้อควรระวัง เช่น
- การอ้างสิทธิ์ของคู่กรณี หากรัฐหนึ่งประกาศสงครามกับอีกรัฐหนึ่ง รัฐที่ถูกประกาศก็อาจใช้คำว่า "สงคราม" เพื่ออ้างสิทธิ์ในการใช้กำลังอย่างเต็มที่เช่นกัน
- การยอมรับความล้มเหลว การประกาศสงครามอาจถูกมองว่าเป็นการยอมรับความล้มเหลวในการควบคุมสถานการณ์ หรือการมอบสถานะทางการเมืองแก่กลุ่มกบฏ
- ความรับผิดชอบทางกฎหมาย หากรัฐอ้างสิทธิ์ในการเป็นผู้ทำสงคราม (belligerent rights) นอกสถานการณ์ที่เข้าข่าย "ความขัดแย้งทางอาวุธ" ตามนิยามทางกฎหมายแล้ว อาจเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่บังคับใช้ในยามสงบ
โดยสรุป โลกได้เคลื่อนไหวจากการพึ่งพาคำว่า "สงคราม" อย่างเป็นทางการไปสู่การใช้คำว่า "ความขัดแย้งทางอาวุธ" ซึ่งเป็นนิยามที่ยืดหยุ่นและเป็นไปตามข้อเท็จจริงมากกว่า เพื่อให้กฎหมายมนุษยธรรมสามารถคุ้มครองผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปะทะได้โดยไม่ขึ้นอยู่กับคำนิยามหรือการยอมรับทางการเมืองของคู่กรณี
รู้หรือไม่ : ในการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา พล.ต.วันชนะ สวัสดี หรือ เสธฯ เบิร์ด รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทยได้กล่าวว่า กองทัพไทยใช้ยุทธวิธี "การใช้กำลังที่จำกัด" (Limited uses of force) มุ่งเน้นเฉพาะจุด หลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ และดำเนินการด้วยการตอบโต้ เพราะต้องป้องกันตนเองและอธิปไตยของชาติมาโดยตลอด ทางกองทัพไทยไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มต้นปะทะทั้งสิ้น
ที่มาข้อมูล : ICRC, INTERNATIONAL LAW ASSOCIATION THE HAGUE CONFERENCE (2010)
อ่านข่าวอื่น :
ไทย-กัมพูชา บรรลุข้อตกลงหยุดยิงไม่มีเงื่อนไข มีผลเที่ยงคืน 28 ก.ค.
ทภ.2 เผยเขมรระดมยิง BM-21 พบสัญญาณ PHL-03 ที่อุดรมีชัย