ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

“โดรน” กลยุทธ์เทคโนโลยี ส่งตรงเป้าหมาย “พื้นที่เสี่ยง” ต้องระวัง

การเมือง
17:58
662
“โดรน” กลยุทธ์เทคโนโลยี ส่งตรงเป้าหมาย “พื้นที่เสี่ยง” ต้องระวัง
อ่านให้ฟัง
08:45อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

คำสั่งห้าม "บินโดรน" 14 พื้นที่ 7 จังหวัดเข้าพื้นที่ห่วงห้ามเด็ดขาด , พื้นที่หวงห้ามเฉพาะ,พื้นที่อันตราย ตามประกาศของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และห้ามทำการบินภายในระยะ 9 กิโลเมตร หรือ 5 ไมล์ทะเล จากสนามบิน หรือที่ขึ้นลงชั่วคราวของอากาศยาน หลังพบ "โดรนสอดแนมกัมพูชา" ล้ำพื้นที่เพื่อประเมินสถานการณ์การวางกำลังของฝ่ายไทย ถือเป็นภัยคุกคามที่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด

ขณะเดียวกัน แม้การต่อสู้ทางอากาศยาน กองทัพกัมพูชา จะไม่มียุทธภัณฑ์และอากาศยานทันสมัย แต่การใช้โดรนหลังเจรจาหยุดยิง ทำให้เห็นว่าเขมรก็ยังไม่ได้ละความพยายามในการหาข้อมูลเพื่อประเมินยุทธศาสตร์การต่อสู้ และมีแนวโน้มว่า กัมพูชาอาจจะว่าจ้างผู้ที่สามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อการสู้รบในอนาคต

เหตุการณ์ปะทะในคืนสุดท้าย (29 ก.ค.2568) ระหว่างไทย-กัมพูชา กองทัพบก ได้แจ้งเตือนกำลังพลทุกนายในพื้นที่สู้รบ ให้ปิดเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ โดยเฉพาะผู้สวมนาฬิกาสมาร์ทวอชทุกยี่ห้อ เนื่องจากตรวจสอบพบว่าทางกัมพูชามีเครื่องตรวจพิกัดสัญญาณรีโมตคอนโทรลจากจีน

และห้ามใช้โดรนลาดตระเวนยี่ห้อ DJI เพราะอาจถูกโจมตีจากฝั่งกัมพูชาเป็นอันตรายต่อทหารผู้ใช้ และขอให้รีบนำออกจากพื้นที่เสี่ยงทันที เนื่องจากเกรงฝ่ายข้ามจับสัญญาณ

จากข้อมูลเบื้องต้น พบว่าโดรนมีอยู่ 2 สองประเภท คือ อากาศยานพลเรือนและอากาศยานทหาร โดรนพลเรือนใช้สำหรับการขนส่งพัสดุและสันทนาการ ขณะที่ โดรนทหารใช้สำหรับภารกิจลาดตระเวนและการรบทางอากาศ

ในทางการทหารแม้โดรนจะไม่ใช่ “ยุทธภัณฑ์”ในการสู้รบ แต่เป็นเครื่องมือทางกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการปฎิบัติการทางทหาร และมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำสงครามสมัยใหม่ ด้วยความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่อันตราย, การโจมตีที่แม่นยำ, และการลดความเสี่ยงต่อชีวิตของทหาร

เมื่อปี 2563 หรือ 6 ปีที่แล้ว สหรัฐอเมริกาที่ใช้อากาศยานไร้คนขับ “MQ-9 Reaper” เพียง 1 ลำ ปฏิบัติการลอบสังหาร นายพลกาเซ็ม โซไลมานี อดีตผู้บัญชาการกองกำลังคุดส์ ผู้ทรงอิทธิพลของอิหร่าน โดยไม่ต้องใช้กำลังทหารเข้าปฏิบัติการโดยตรงต่อเป้าหมาย

ในปีเดียวกัน สงความช่วงชิงดินแดนระหว่างอาร์เมเนีย-อาเซอร์ไบจาน ทางอาเซอร์ไบจานส่งฝูงบินโดรน “Bayraktar TB2” ขึ้นจากฐานบินภายในประเทศเข้าโจมตีกองกำลังอาร์เมเนียในพื้นที่พิพาทนาร์กอโน-คาราบักห์ ส่งผลให้ระบบป้อง กันภัยทางอากาศ และยุทโธปกรณ์หลักทางทหารของอาร์เมเนียถูกทำลายมากกว่า 660 เป้าหมาย คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ประเทศต่าง ๆ ในตะวันออกกลางและสหรัฐฯ ต่างมีการพัฒนาโดรนอย่างเต็มรูปแบบ ข้อมูลจากสมุดปกขาวกองทัพบก ระบุว่า อากาศยานไร้คนขับโดรน (Drone) หรือยูเอวี (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) เป็นอากาศยานที่ไม่มีนักบินประจำการอยู่บนอากาศยาน

และควบคุมได้ 2 ลักษณะ คือ 1) การควบคุมอัตโนมัติจากระยะไกล โดยการควบคุมจากหอบังคับการบินที่มีนักบินประจำการอยู่บนภาคพื้นในระยะที่ไม่ไกลมาก หรือในระดับที่สายตามองเห็น (Line of Sight) และ 2) การควบคุมแบบอัตโนมัติโดยใช้ระบบการบินด้วยตนเองด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกติดตั้งไว้ในอากาศยาน

ในยุคแรก ๆ โดรนถูกใช้งานเพื่อภารกิจการลาดตระเวนหาข่าว และเนื่องจากโดรนมีจุดเด่นในเรื่องการลดเกณฑ์เสี่ยงในการสูญเสียนักบิน ประหยัดงบประมาณในการผลิต เป็นระบบที่ไม่ซับซ้อนมากนัก มีขนาดเล็ก ทำการตรวจจับได้ยาก มีความคล่องตัวสูง ระยะเวลาบินไม่ขึ้นอยู่กับความเมื่อยล้าของนักบิน เพราะใช้นักบินภายนอก (External Pilot)

ต่อมาโดรนจึงได้ถูกพัฒนาให้มีความทันสมัยมากขึ้น และใช้ในภารกิจหลากหลายมากขึ้น สำหรับประเทศไทย มีการนำโดรนมาใช้ในการทหารครั้งแรกในปี 2531โดยนำเข้า R4D SkyEye จำนวน 7 ลำที่กองบิน 4 ตาคลี เพื่อใช้ในสงครามร่มเกล้า แต่ประสิทธิภาพต่ำ ไม่เหมาะกับการสงคราม กองทัพไทยจึงไม่ได้ให้ความสำคัญอีกเลย นานกว่า 20 ปี

ต่อมาในปี 2547 ที่กองทัพไทยเล็งเห็นความสำคัญของโดรน จากสงครามการสู้รบในต่างประเทศ จึงทำให้เกิดโครงการ วิจัยและพัฒนาอากาศยานไร้นักบิน (Unmanned Aerial Vehicle: UAV) ของกองทัพบก ตั้งแต่ ปี 2548 -2549 โดยสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม (สวพ.กห.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นผู้สนับสนุนโครงการด้วยงบประมาณกว่า 90 ล้านบาท

โดรนไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566-2568 และปี 2568-2571 และบางโครงการ เช่น การขีดความสามารถอากาศยานไร้คนขับพลีชีพ (Kamikaze Drone) โดยมีการศึกษาวิจัยต่อเนื่อง 2570-2575

ขณะที่กองทัพอากาศไทยที่เตรียมปรับเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพอากาศและอวกาศ ขณะนี้ได้เตรียมยกร่างแผนพ.ร.บ.การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางอากาศและอวกาศ หลังก่อนหน้าเคยมีการปล่อยดาวเทียมนภา 1 และนภา 2 พร้อมทั้งเตรียมปล่อย นภา 3 และ 4 ภายในปี 2568 นี้

ข้อมูลสมุดปกขาวกองทัพบก ปี 2567 ได้ให้ความสำคัญกับโดรน ในลักษณะ "เชิงรับ" โดยระบุไว้ในแนวทางเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพบก

ข้อย่อย 4.2 ว่า "การเสริมสร้างขีดความสามารถในระบบการป้องกันภัยทางอากาศ : ระบบป้องกันภัยทางอากาศ (อาวุธนำวิถี) ระบบป้องกันและต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Anti - Drone) ระบบควบคุมสั่งการอาวุธป้องกันภัยทางอากาศ ระบบเรดาร์แจ้งเตือน และอื่น ๆ

โดยประเภทของโดรนตามลักษณะการใช้งานได้ 6 ประเภท คือ

1.ใช้เป็นเป้าหมายหรือเป้าล่อ ในการฝึกให้กับพลยิงปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานหรือขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ

2.ใช้เป็นอุปกรณ์สนับสนุนการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจสนามรบ เพื่อสนับสนุนการผลิตข่าวกรองการรบ

3.ใช้ในภารกิจการโจมตี

4.ใช้ในภารกิจการส่งกำลังบำรุง โดยยูเอวีที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อรองรับภารกิจการขนส่งหรือยกหิ้วสิ่งอุปกรณ์ต่าง ๆ

5.ใช้ในการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้สามารถสนองตอบความต้องการและนำไปใช้จริงได้

6.ใช้ในทางพลเรือนและทางการตลาด

ทั้งนี้ การใช้โดรนของหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทย นอกจากจะสั่งซื้อจากต่างประเทศแล้ว ปัจจุบันไทยสามารถผลิตตัวโดรนตระกูล “ดีพี” ได้แล้ว เป็นอากาศยานไร้คนขับติดอาวุธ พัฒนาและผลิตโดย ATIL (Aero Technology Industry Co.,LTD) ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับบริษัทเอกชนในไทย ประเทศจีน และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ 

อย่างไรก็ตาม การใช้โดรนในทางยุทธวิธีก็มีข้อจำกัดและข้อควรพิจารณา ทั้งด้านความปลอดภัย, กฎหมาย, และจริยธรรม แต่สำหรับในพื้นที่สู้รบไทย-กัมพูชา ที่มีความเสี่ยงสูง ยิ่งต้องเพิ่มมาตรการป้อง กันการสอดแนมจากโดรนฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้เข้ามาเหยียบจมูกได้อีก

อ่านข่าว

สังเวย 3 ชีวิต “บิ๊กทหารเขมร” ตรวจแนวรบพระวิหารไทย-กัมพูชา

จารึกไว้ในแผ่นดิน สดุดี “15 วีรชนทหารกล้า” ปกป้องแผ่นดินไทย

ยุติปะทะ "ไทย กัมพูชา" นานาชาติจี้ "เจรจา-เห็นต่าง" อย่างเหมาะสม