ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ศาล รธน.สั่ง “พิเชษฐ์” พ้นรอง ปธ.สภาฯ-สส.-ตัดสิทธิ์ 10 ปี ปมโยกงบฯ

การเมือง
15:55
7,488
ศาล รธน.สั่ง “พิเชษฐ์” พ้นรอง ปธ.สภาฯ-สส.-ตัดสิทธิ์ 10 ปี ปมโยกงบฯ
อ่านให้ฟัง
05:41อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง “พิเชษฐ์” พ้นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 และพ้นจาก สส.นับแต่ 1 ส.ค.68 พร้อมทั้งเพิกถอนสิทธิ์สมัครเลือกตั้ง 10 ปี เหตุฝ่าฝืน รธน.ม.144 มีส่วนได้ส่วนเสียในการใช้งบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ 178 ล้านบาท

วันนี้ (1 ส.ค.2568) เมื่อเวลา 15.00 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 6 ต่อ 3 ชี้ว่า นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง พ้นจากตำแหน่งรองประธานสภาฯ และตำแหน่ง สส. นับแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัยวันที่ 1 ส.ค.2568 และเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี

ด้วยนายพิเชษฐ์มีส่วนโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 และปี 2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง ซึ่งศาลได้อ้างอิงคำเบิกความของพยาน 9 ปากที่เกี่ยวข้อง ที่ดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 สืบเนื่อง และชี้เห็นถึงการใช้จ่ายงบประมาณปี 2569 ที่มีความต่อเนื่อง

ศาลวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานมีน้ำหนักรับฟังได้ว่านายพิเชษฐ์เห็นชอบให้อนุมัติสั่งการเสนอ หรือแปรญัตติโครงการ 3 ซึ่งเป็นโครงการที่จะทำขึ้นเพื่อให้ สส. หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินการนำไปสู่การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการโดยมุ่งเน้นดำเนินการในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของนายพิเชษฐ์

รูปแบบการดำเนินการของโครงการดังกล่าวในปี 2569 จะดำเนินการรูปแบบเดียวกันกับงบประมาณปี 2568 เป็นโครงการต่อเนื่อง ทำให้มีพฤติกรรมหรือการกระทำมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้ง 3 ซึ่งเป็นการใช้อำนาจในสถานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ที่เจตนาใช้งบหาเสียงและสร้างความนิยมให้แก่ตนเอง ในเขตเลือกตั้งของตน และทำให้พรรคการเมืองที่ตนเองสังกัด ได้รับผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัย โดยไล่เลียงไทม์ไลน์ตั้งแต่ที่นายพิเชษฐ์ได้เป็น สส.เขต 7 จังหวัดเชียงราย และได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง ก่อนขยับขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง และไล่เรียงไทม์ไลน์พฤติกรรมการเข้าไปมีส่วนร่วมเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 3 โครงการ

ย่อมเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์สาธารณะ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185 ซึ่ง สส.ห้ามใช้สถานะกระทำการใดอันมีลักษณะก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่นหรือของพรรคการเมือง

ตามคำร้องของนายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม.พรรคประชาชน และคณะ สส.ของพรรค จำนวน 121 คน ยื่นร้องต่อศาล วินิจฉัยว่า นายพิเชษฐ์ เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 3 โครงการ คือ

1.การพัฒนาศักยภาพประชาชนและเยาวชนการปกครองระบอบประชาธิปไตย 2.โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นระบบ 3.ของการเสริมบทบาทสตรีในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ในวงเงินงบประมาณ 347 ล้านบาท โดยได้รับการจัดสรรทั้งสิ้น 178 บาท ซึ่งเป็นโครงการในรูปแบบให้การช่วยเหลือให้ทุนประชาชนจากโครงการที่นำเสนอใช้จ่ายงบประมาณ 440 โดยมี 298 โครงการ ที่ได้จัดขึ้นในเขตเลือกตั้งที่ 7 จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของพิเชษฐ์

การดำเนินการในการใช้งบประมาณจากโครงการนั้นต้องผ่านความเห็นชอบจากรกรรมการบริหารโครงการในขณะนั้น ซึ่งมีพิเชษฐ์เป็นกรรมการอยู่ด้วย ...แม้จะเป็นการใช้งบประมาณปี 2568 แต่โครงการดังกล่าวถูกเสนอในปีงบประมาณ 2569 ยังคงมีหลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ ระยะเวลาดำเนินโครงการ เป้าหมาย ผลลัพธ์ และผลกระทบโครงการ ตามแผนใช้จ่ายงบประมาณ รูปแบบจัดกิจกรรม รายละเอียดงบประมาณและค่าใช้จ่ายเหมือนกัน

ทั้งนี้ ในการฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ผู้ร้อง คือ นายภัณฑิต เดินทางมาฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเอง ขณะที่นายพิเชษฐ์ ส่งนายเมธี ใจสมุทร ทนายความ มาฟังคำวินิจฉัยแทน

อ่านข่าว : ศาลฎีกาฯ สั่งจำคุก "วิรัช-พวก" คดีทุจริตสร้างสนามฟุตซอล 

"ฝ่ายไทย" บอกอะไรกับทูตทหาร-สื่อต่างชาติ เหตุขัดแย้งไทย-กัมพูชา 

"พล.อ.ณัฐพล" ระบุไม่ไว้ใจกัมพูชา ปั่นคนให้ไม่พอใจไทย ขอย้ายประชุม GBC ไปมาเลย์