แม้ประเทศไทยจะมีระบบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) กระจายตัวอยู่ในชุมชน และชาวบ้านสามารถเดินทางไปรับการรักษาได้เอง แต่ในความเป็นจริง ยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือครอบครัวที่มีข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ บวกกับประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สภาพครอบครัวส่วนใหญ่กลายเป็นครอบครัวเดี่ยว ลูกหลานต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ทิ้งให้ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยอยู่ตามลำพัง ทำให้การเดินทางไปรับบริการด้านสุขภาพจึงไม่ใช่เรื่องง่าย หรือบางคนอาจจะได้รับการดูแลรักษาไม่ต่อเนื่อง

"ฮับส่งโฮงยา" ระบบที่เกิดขึ้นมาเพื่อให้ อปท. ซึ่งมีภารกิจให้บริการสุขภาพแก่คนท้องถิ่นได้ปฏิบัติงานอำนวยความสะดวกแก่คนในชุมชน ด้วยการรับส่งจากบ้านไปยังโรงพยาบาลและรับกลับบ้านเป็นบริการรับส่งโรงพยาบาลแบบไม่ฉุกเฉิน (Non-Emergency Transportation System – NETS) ให้แก่ผู้ใช้บริการในชุมชน เพื่อปิดช่องว่างที่ระบบ รถ 1669 ทำงานรับส่งได้เพียงอุบัติเหตุฉุกเฉินเท่านั้น ส่งผลให้ ผู้ป่วย ผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงในกลุ่มหมอนัด เช่น ฟอกไตทุก 3 วัน ล้างแผล หมอนัดเรื่อง ผู้ป่วย NCDs ผู้ป่วยติดเตียงต้องไปโรงพยาบาล ประสบปัญหาในการเดินทาง ทั้งลูกหลานไม่สะดวกในการรับ-ส่งเพราะติดภารกิจทำงาน อยู่ไกล ลางานไม่ได้ หรือแม้จะว่างมาดูแล แต่การดูแลผู้ติดเตียงหรือผู้สูงอายุที่เดินลำบาก จะต้องมีคนช่วยพยุง
การใช้แอปพลิเคชันจะช่วยให้การนัดหมาย การทำงาน รับ-ส่ง เป็นระบบ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องเก็บเอกสารคำร้องเป็นกระดาษ เปลืองพื้นที่ ประหยัดเวลา ขณะที่ผู้บริหารท้องถิ่นยังสามารถนำข้อมูลจากระบบไปใช้วิเคราะห์ วางแผน และกำหนดนโยบายสุขภาพได้ตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่

รศ.ดร.วีระศักดิ์ เครือเทพ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและยกระดับขีดความสามารถในการจัดการภาครัฐและท้องถิ่น บพท.
รศ.ดร.วีระศักดิ์ เครือเทพ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและยกระดับขีดความสามารถในการจัดการภาครัฐและท้องถิ่น บพท.
"ฮับส่งโฮงยา" โมเดลต้นแบบเวียงยอง
รศ.ดร.วีระศักดิ์ เครือเทพ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและยกระดับขีดความสามารถในการจัดการภาครัฐและท้องถิ่น หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เปิดเผยว่า โครงการพัฒนาระบบบริการ รถรับส่งผู้ป่วยไม่ฉุกเฉิน เป็นหนึ่งในนวัตกรรมสำคัญที่เกิดจากการเล็งเห็น ช่องว่างในระบบการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิของประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยที่จำเป็นต้องพบแพทย์ตามนัด แต่ไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ เนื่องจากไม่มีรถส่วนตัว รายได้น้อย หรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกล โดยค่าจ้างรถรับจ้างเอกชนในแต่ละครั้งอาจสูงถึง 500–1,000 บาท
ข้อมูลสถิติเผยว่า ผู้ป่วยกว่า 30% มีอาการทรุดลง เพราะขาดการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญคือ ความลำบากในการเดินทาง

ระบบรถรับส่งผู้ป่วยไม่ฉุกเฉินจึงถูกพัฒนาขึ้น โดยใช้นวัตกรรมแอปพลิเคชันอัจฉริยะที่สามารถ จองคิว จัดตารางเดินรถ และติดตามสถานะรถแบบเรียลไทม์ ได้อย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยให้เทศบาลสามารถบริหารจัดการบริการได้อย่างเป็นระบบ และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ตรงจุด
สำหรับโมเดลบริการสุขภาพฮับส่งโรงยา ซึ่งริเริ่มขึ้นที่เทศบาลตำบลเวียงยอง จะได้รับการต่อยอดขยายผลให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ในเขตพื้นที่ จ.ลำพูน โดยจะมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการระหว่างเทศบาลดำบลเวียงยอง ที่เป็นโมเดลต้นแบบ กับเทศบาลตำบลเหมืองจี้ เทศบาลตำบลบ้านแป้น องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหนาม ด้วย

น.ส.สิริมาพร รัตนภูมิสิริ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงยอง
น.ส.สิริมาพร รัตนภูมิสิริ นายกเทศมนตรีตำบลเวียงยอง
"ฮับส่งโฮงยา" ตอบโจทย์คนในชุมชน
กล่าว่า เทศบาลตำบลเวียงยองได้ดำเนินโครงการ "ฮับส่งโฮงยา" หรือระบบการรับ-ส่งผู้ป่วยและผู้สูงอายุเพื่อเข้ารับบริการทางการแพทย์ ตั้งแต่เดือน ก.พ.2567 จนถึงปัจจุบัน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยและผู้มีภาวะพึ่งพิง
โดยตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงเดือน มิ.ย.2568 โครงการสามารถให้บริการประชาชนแล้วทั้งหมด 275 คน แบ่งเป็น ปี 2567 จำนวน 177 คน และในช่วง ม.ค. – มิ.ย.2568 อีก 98 คน รวมการเดินทางรับ-ส่งผู้ใช้บริการทั้งสิ้น 835 ครั้ง รวมเวลา 503.29 ชั่วโมง และระยะทางรวม 15,574.13 กิโลเมตร
ผู้รับบริการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้สูงวัยที่พึ่งพาตัวเองได้ จำนวน 164 คน (ปี 2567 จำนวน 105 คน, ปี 2568 จำนวน 59 คน) และผู้มีภาวะพึ่งพิง เช่น ผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ จำนวน 111 คน (ปี 2567 จำนวน 72 คน, ปี 2568 จำนวน 39 คน)
ผลลัพธ์ของโครงการ "ฮับส่งโฮงยา" สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของผู้ใช้บริการได้รวมทั้งสิ้น 476,800 บาท ในขณะที่เทศบาลตำบลเวียงยองใช้งบประมาณบริหารจัดการโครงการเพียง 130,648.53 บาท
โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ครอบครัวของผู้ป่วยและผู้สูงอายุ แต่ยังสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ให้แก่ประชาชนทุกกลุ่มในชุมชนอีกด้วย

รศ.ดร.อรัญญา ศิริผล อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รศ.ดร.อรัญญา ศิริผล อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ปัญหาชุมชนสู่นวัตกรรมดิจิทัลช่วยผู้ป่วย
รศ.ดร.อรัญญา ศิริผล อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย ระบุถึงที่มาของ โครงการพัฒนาขีดความสามารถการบริการสุขภาพผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงของเทศบาลตำบลเวียงยอง อ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน ว่า โครงการนี้ถูกจุดประกายขึ้นจากการจัดเวทีประชาคมร่วมกับชมรมผู้สูงอายุในพื้นที่ ซึ่งพบปัญหา คือ ชาวบ้านที่เจ็บป่วยมีอุปสรรคในการเดินทางไปรับบริการยังสถานพยาบาล และมีข้อจำกัดด้านรายได้ในการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์มาใช้งาน
จากข้อค้นพบดังกล่าว ได้นำไปสู่การแสวงหาแนวทางออกแบบและแก้ไขปัญหา จนลงเอยด้วยการพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลเพื่อชุมชน ซึ่งเป็นงานวิจัยเชิงปฏิบัติการที่เน้นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและใช้งานได้จริง

นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นเป็น แอปพลิเคชัน "ฮับส่งโสงยา" สำหรับบริหารจัดการคิวรถรับส่งผู้ป่วยระหว่างบ้านกับสถานพยาบาล และ ยืม-คืนกายอุปกรณ์การแพทย์ อำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการยืม-คืนอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเป็นระบบ โปรแกรมภูมิสารสนเทศชุมชน เพิ่มขีดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ และ ระบบฐานข้อมูลประชากร และระบบปฏิบัติการ ทำให้การบริหารจัดการบริการสุขภาพเป็นไปอย่างลื่นไหล รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
โครงการนี้มุ่งเน้นช่วยเหลือกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงใน ต.เวียงยอง โดยกลุ่มที่ใช้บริการเป็นประจำคือผู้ป่วยที่ต้องไปล้างแผล, ผู้ป่วยที่แพทย์นัดทุกเดือน และผู้ป่วยฟอกไตที่ต้องเดินทางทุก 3 วัน ซึ่งบริการนี้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนได้อย่างมหาศาล
กลุ่มที่สำคัญมากคือกลุ่มติดเตียงกว่าร้อยคน การที่เราสามารถช่วยเหลือให้พวกเขาเดินทางไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลได้ ถือเป็นการแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้อย่างมาก
สำหรับเสียงตอบรับจากชุมชน พบว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกหลานของผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งระบุว่าโครงการนี้ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ทั้งการที่ไม่ต้องลางานเพื่อพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ลดความยากลำบากในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย และแก้ปัญหาการหาที่จอดรถที่โรงพยาบาล ทั้งนี้ในมิติเศรษฐกิจ โครงการนี้สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้เกือบ 500,000 บาท
แต่ในมิติทางสังคมและอารมณ์ มิติของความสุขเป็นสิ่งที่ไม่สามารถวัดได้ และเราก็ไม่อยากวัด แต่อยากจะเก็บความรู้สึกเหล่านี้ไว้ให้เราได้สัมผัสถึงคุณค่าของมัน

เปลี่ยนชีวิตครอบครัวผู้ป่วยติดเตียง
คุณออย หนึ่งในผู้ใช้บริการฮับส่งโฮงยา เล่าว่า คุณแม่วัย 74 ปี ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องเดินทางไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลลำพูนเป็นประจำทุกเดือนตามนัดของแพทย์ โดยก่อนหน้านี้ครอบครัวต้องช่วยกันยกคุณแม่ขึ้นท้ายรถกระบะ โดยใช้เปลสนามที่ทำขึ้นเองเพื่อเคลื่อนย้าย ซึ่งนอกจากจะเสี่ยงต่อความปลอดภัยแล้ว ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรับส่งแต่ละครั้งประมาณ 500 บาท บางเดือนคุณแม่มีอาการอื่น ๆ เพิ่มเติม ต้องพาไปพบแพทย์นอกเวลานัดที่ทำให้ค่าใช้จ่ายยิ่งสูงขึ้น

หลังจากใช้บริการฮับส่งโฮงยามีความสะดวกมากขึ้น เพราะบนรถมีอุปกรณ์พร้อม ทั้งเตียงผู้ป่วยสำหรับการเคลื่อนย้าย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่คอยช่วยกับเคลื่อนย้ายคุณแม่
ซึ่งในเดือนนี้คุณแม่มีอาการป่วยบ่อย ต้องเดินทางโรงพยาบาลถึง 4 ครั้ง การใช้บริการฮับส่งโฮงยา ทำให้สะดวกมากขึ้น
รู้สึกไม่กังวลแล้ว แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ถ้าการบริการนี้ต้องมีอันยกเลิกไป

"ฮับส่งโฮงยา" ต่อยอดสู่ "โทรเวชกรรม"
ไม่ต่างจากคุณตาวรรณลพ และ คุณยาย ชาวบ้านในหมู่บ้านแม่เอิบ ต.บ้านกิ่ว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ที่ใช้บริการ "โทรเวชกรรม" (Telemedicine) เพื่อการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่พัฒนาต่อยอดมาจาก "ฮับส่งโฮงยา"
คุณตาและคุณยาย 2 ที่อาศัยในบ้านพักกันเพียง 2 คน ด้วยวัย 70 กว่า ทำให้มีปัญหาสุขภาพ โดยคุณยายมีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ส่วนคุณตาสายตามองไม่ค่อยเห็น ทำให้ต้องตรวจเช็คสุขภาพที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านกิ่วหลวง เป็นประจำซึ่งระยะทางจากบ้าน ไปยัง รพ.สต. ประมาณ 15 กิโลเมตร ทำให้ลำบากในการเดินทาง ต้องว่าจ้างรถรับจ้างของเพื่อนบ้านให้ไปส่ง แต่ละครั้งต้องมีค่าใช้จ่ายหลักร้อย หลังจากการใช้ระบบโทรเวชกรรม (Telemedicine) เพื่อติดตามอาการป่วย ทำให้คุณตาคุณยายไม่ต้องเดินทางมายัง รพ.สต. โดยมี อสม.เป็นตัวกลางในการประสานงาน
โทรเวชกรรม (Telemedicine) ในพื้นที่ จ.ลำปาง เริ่มต้นคัดเลือกพื้นที่นำร่อง 7 - 10 แห่ง จาก 67 แห่งที่ถ่ายโอนสู่ อบจ.ลำปาง เน้นพื้นที่ที่มีจำนวนประชากรกลุ่มเปราะบาง ยากจนหรือที่อยู่ห่างไกลซึ่งจะมีปัญหาในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การนำระบบโทรเวชกรรม (Telemedicine) มาใช้จะช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ลดความแออัดในโรงพยาบาลหลัก และสนับสนุนการดูแลสุขภาพปฐมภูมิใน 5 ด้านสำคัญคือการป้องกันและบำบัดโรค การส่งเสริมสุขภาพ การรักษาพยาบาลอย่างง่าย การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค
นอกจากนี้ยังจะเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นอบจ. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ มีระบบธรรมาภิบาล และตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นพ.ไชยนันท์ ทยาวิวัฒน์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง
นพ.ไชยนันท์ ทยาวิวัฒน์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง
สู่ระบบบริการสุขภาพทางไกลบูรณาการ
นพ.ไชยนันท์ ทยาวิวัฒน์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง ระบุว่า เรื่อง Telemedicine จะเป็นอีกหนึ่งบริการที่ชาวบ้านไม่ต้องรอที่เดินทางมาหน่วยรักษาพยาบาล อยู่ที่ไหนก็เข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้
ระบบการให้คำปรึกษาทางไกลผ่านระบบโทรเวชกรรม (Telemedicine) เพื่อแก้ไขจุดอ่อนของการปรึกษาที่มีก่อนหน้า ระบบเหล่านั้นยังขาดการเก็บข้อมูลเพื่อติดตามภาวะสุขภาพ
การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อปรึกษาทางไกลขึ้นมา จะมีการสร้างฐานข้อมูลบุคคลขึ้นมา สำหรับการให้คำปรึกษา ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ต้องใช้ข้อมูลในการตามสภาวะสุขภาพของแต่ละคน จุดสำคัญที่เป็นจุดแข็งของโครงการนี้สามารถที่จะดูแลคนป่วยได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับคนที่ปรึกษาผ่านระบบทางไกลนี้ได้
ถ้ามีแอปพลิเคชันนี้ในระบบมือถือ ชาวบ้านสามารถเข้ามาปรึกษาด้านสุขภาพได้ตลอดเวลา ไม่ต้องไปซื้อยากินเอง หรือไปปฏิบัติตัวที่ไม่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตามในปี 2568 จะเป็นการต่อยอดผลงานจากปี 2567 ในระยะที่ 2 เป็นโครงการการต่อยอดจากระบบโทรเวชกรรม (Telemedicine) สู่ระบบบริการสุขภาพทางไกลบูรณาการ (Telehealth) และศูนย์นวัตกรรมการจัดการระบบสุขภาพปฐมภูมิต้นแบบ ครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง ลำพูน และกระบี่ โดยเฉพาะพื้นที่ชนบทที่เผชิญกับปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรและการเข้าถึงบริการ
สำหรับการพัฒนาใน จ.ลำปาง ได้มีขยายการใช้ Telemedicine จาก 10 แห่งในระยะที่ 1 เป็น 20 แห่ง และเพิ่มระบบ Telehealth อย่างน้อย 3 ระบบ เช่น Telenursing (การพยาบาล) Telepharmacy (การให้คำปรึกษาด้านยา) Telerehabilitation (การฟื้นฟูสมรรถภาพ) Telemental Health (การดูแลด้านจิตเวช) Telenursing (การพยาบาลทางไกล) การดูแลโดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว Thai traditional telemedicine (โทรเวชกรรมการแพทย์แผนไทย) และการส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ระบบนี้ช่วยลดค่าใช้จ่าย ลดภาระบุคลากร และเพิ่มการเข้าถึงบริการให้กับประชาชน ขณะที่การพัฒนาใน จ.ลำพูนและกระบี่โครงการได้พัฒนาระบบ Telemedicine และ Telehealth ใน รพ.สต. จังหวัดละ 20 แห่ง เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับ อปท. อื่น ๆ โดยใช้ จ.ลำปางเป็นโมเดลนำร่อง

รศ.ดร.อุเทน คำน่าน รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารจัดการทุนวิจัยเเละนวัตกรรม บพท.
รศ.ดร.อุเทน คำน่าน รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารจัดการทุนวิจัยเเละนวัตกรรม บพท.
รศ.ดร.อุเทน คำน่าน รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารจัดการทุนวิจัยเเละนวัตกรรม หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่าระบบ "ฮับส่งโฮงยา" และโปรแกรมยืม-คืนกายอุปกรณ์การแพทย์เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่ายแก่ประชาชน ในการรับบริการด้านสาธารณสุขที่เป็นผลสัมฤทธิ์ของโครงการพัฒนาขีดความสามารถการบริการสุขภาพผู้สูงอายุ และผู้มีภาวะพึ่งพิง
รวมทั้งระบบโทรเวชกรรม ระบบสุขภาพปฐมภูมิ ที่เป็นผลสัมฤทธิ์ของโครงการพัฒนาระบบโทรเวชกรรมและระบบสุขภาพปฐมภูมิในประเทศไทย จ.ลำปาง ล้วนเป็นผลสัมฤทธิ์ของโครงการวิจัย ที่มีบทบาทอย่างสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตและลดภาระค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงบริการสุขภาพแก่ประชาชนอย่างแท้จริง
อ่านข่าว :
ไทยผลิต “ยาเม็ดมุ่งเป้ารักษามะเร็ง” สำเร็จ ลดราคานำเข้า 40 เท่า
กรมธนารักษ์เปิดจำหน่าย เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 150 ปี เริ่ม 1 ส.ค.นี้