สถานการณ์เศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังคงเผชิญแรงกดดันหลายด้าน ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเมินว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในภาคอีสานปีนี้ จะอยู่ในระดับต่ำเพียง ร้อยละ 0.5 ถึง 1.5 ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า

ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ : โตน้อย ไม่ทั่วถึง
ดร.ทรงธรรม ปิ่นโต ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบุว่า การเติบโตของเศรษฐกิจภาคอีสานในปี 2568 มีลักษณะ “กระจุกตัว” ในบางภาคส่วน เช่น ภาคอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก การลงทุนของภาครัฐ และภาคการท่องเที่ยว ขณะที่รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ยังคงไม่ฟื้นตัว และยังสะท้อนถึงความยากลำบากผ่านหลายตัวชี้วัดสำคัญ
โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ของปี 2568 พบเสียงสะท้อนจากประชาชนในพื้นที่ถึงความยากลำบากในการทำมาค้าขาย ค่าใช้จ่ายที่หดตัว และภาระหนี้สินเรื้อรัง ซึ่งยังแก้ไขได้ยากในระดับครัวเรือน
ข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในพื้นที่ยังลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันถึง 32 เดือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน

รายได้เกษตรกรลด–ต้นทุนพุ่ง
อีกหนึ่งแรงกดดันสำคัญ คือ รายได้ภาคเกษตรในอีสานที่ลดลงจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ถดถอย เช่น ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย แม้ปริมาณผลผลิตจะใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ราคาที่ปรับลดลงบวกกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาปุ๋ย ยา และแรงงาน ส่งผลให้ รายได้สุทธิของเกษตรกรลดลง อย่างมีนัยสำคัญ
ความขัดแย้งชายแดน : เสี่ยงซ้ำเติมเศรษฐกิจท้องถิ่น
สถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะเหตุปะทะที่เกิดขึ้นในหลายจุดในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย และภาคบริการที่พึ่งพาการค้าข้ามแดน
นายมนัสชัย จึงตระกูล รองผู้อำนวยการธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบุว่า เหตุปะทะที่เกิดขึ้น ทำให้หลายจุดผ่านแดนต้องปิดการเข้าออกชั่วคราว ทั้งในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้ผู้ค้ารายย่อยที่ดำเนินธุรกิจค้าขายกับฝั่งกัมพูชาได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนการค้าชายแดนกับกัมพูชาเพียง ร้อยละ 5 ของภาพรวมทั่วประเทศ แต่คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย มากกว่า 500 ล้านบาทต่อเดือน

ธุรกิจโรงพยาบาล–ผู้ป่วยกัมพูชา ถูกกระทบหนัก
หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือ สถานพยาบาลและโรงพยาบาลเอกชนตามแนวชายแดนซึ่งปกติจะมีผู้ป่วยจากประเทศกัมพูชาข้ามแดนเข้ามารักษาตัว มากกว่า 10,000 คนต่อเดือน
การปิดจุดผ่านแดนและความไม่มั่นคงในพื้นที่ ทำให้จำนวนผู้รับบริการลดลงทันที และอาจส่งผลต่อรายได้ของสถานพยาบาลหลายแห่ง
ภาคเกษตรแนวชายแดน–กระทบน้อยแต่ต้องเฝ้าระวัง
ในส่วนของภาคเกษตรกรรมบริเวณแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าว ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ความไม่สงบ อย่างไรก็ตาม มีบางจุดที่ยังพบระเบิดตกค้าง ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าไปเก็บกู้ เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าไปเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างปลอดภัย

แบงก์ชาติเร่งมาตรการช่วยเหลือ
เพื่อรองรับสถานการณ์ที่กระทบต่อประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและผู้ค้าชายแดน ธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมออกมาตรการทางการเงินเร่งด่วนเพื่อบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชนและภาคธุรกิจในพื้นที่
มาตรการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ได้แก่ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ เพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจรายย่อยและภาคบริการในพื้นที่ชายแดน
ธนาคารแห่งประเทศไทยย้ำว่า ได้กำชับให้ สถาบันการเงินในพื้นที่เร่งดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถประคับประคองธุรกิจและครัวเรือนในช่วงวิกฤตนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
สรุปแล้วแม้จะมีแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว และการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐที่ดีแต่ ความเปราะบางของเศรษฐกิจระดับครัวเรือน และความเสี่ยงจากสถานการณ์ความไม่สงบ ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องติดตาม
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาคอีสานจึงไม่ใช่เพียงการเติบโตของตัวเลข GDP แต่ต้องวัดที่การ “ไหลลงมาถึงฐานราก” หรือประชาชนส่วนใหญ่ ที่ยังรอการฟื้นตัวอย่างแท้จริง
รายงาน : กัลยารัตน์ ลิ้มอำนวยลาภ ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ศูนย์ข่าวภาคอีสาน
อ่านข่าว : สถานทูตญี่ปุ่นในพนมเปญ โต้ข่าวลือ ญี่ปุ่นจัดหาโดรนรบให้ไทย
"ภูมิธรรม" จี้ผู้ว่าฯ ดูปมเงินเยียวยาไม่ถึง ปชช. รอสอบสายลับ BHQ
กลิ่นศพคลุ้ง สธ.เร่งแจกหน้ากาก N95 ยันไม่ก่อโรคแต่อาจวิงเวียน