อวัยวะแต่ละส่วนของร่างกายล้วนมีความสำคัญเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจที่สูบฉีดเลือด ไตที่กรองของเสีย หรือ ลำไส้ที่ย่อยและดูดซึมสารอาหาร โรคร้ายก็มีแตกต่างกันไป ผู้ชายต้องระวังมะเร็งต่อมลูกหมาก ส่วนผู้หญิงต้องระวัง "มะเร็งรังไข่" หนึ่งในโรคที่ต้องระวัง นั้นแพราะถือว่าเป็น "ภัยเงียบ" มักไม่แสดงอาการจำเพาะ และสามารถเกิดได้ในทุกช่วงวัย โดยพบมากในหญิงอายุ 50–60 ปี
มะเร็งรังไข่ มะเร็งที่เกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเนื้อเยื่อบริเวณรังไข่ (Ovary) หรือ ท่อนำไข่ (Fallopian Tube) ทำให้รังไขมีขนาดโตขึ้น
ข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ Cancer In Thailand Vol. XI ปี 2019– 2021 ระบุว่า อุบัติการณ์โรคมะเร็งรังไข่ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีผู้ป่วยรายใหม่ราว 3,000 คนต่อปี แม้จะพบบ่อยเป็นอันดับ 3 รองจาก "มะเร็งปากมดลูก" และ "มะเร็งมดลูก" แต่กลับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงที่สุดในบรรดามะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์สตรี
เรื่องนี้ไม่ได้อยู่แค่ในตัวเลข แต่โรคเหล่านี้มักมาแบบเงียบ กว่าหลายคนจะรู้ตัวก็เข้าสู่ระยะที่รักษายากแล้ว ก่อนที่จะถึงจุดนั้น การตรวจสุขภาพประจำปี การฟังสัญญาณจากร่างกาย และการใส่ใจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง คือเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด มาสำรวจภัยเงียบอย่าง "มะเร็งรังไข่" ว่าอาการแบบไหนที่ควรระวัง พร้อมวิธีรับมือและป้องกัน
"รังไข่" คือ มีหน้าที่อย่างไร ในร่างกาย
"รังไข่" (Ovary) เป็นอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง เป็นอวัยวะที่อยู่ภายในช่องท้องอยู่ติดกับมดลูกและมี 2 ข้าง "หน้าที่ของรังไข่" คือ การผลิตไข่และฮอร์โมนเพศหญิง เช่น เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน โดยเฉพาะ "เอสโตรเจน" ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เตรียมความพร้อมสำหรับการเจริญพันธุ์และการตั้งครรภ์

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
"รังไข่" เป็นอวัยวะสำคัญของผู้หญิงทุกคน ดังนั้นหากเกิดความผิดปกติ ก็อาจนำไปสู่อันตรายต่อสุขภาพในอนาคตได้ เพื่อป้องกันและเฝ้าระวัง จึงควรสังเกตสัญญาณความผิดปกติ ดังนี้
เช็กสัญญาณเตือน "มะเร็งรังไข่"
มะเร็งรังไข่ มักไม่มีอาการที่ชัดเจน แต่หากใครมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม
- ท้องอืดท้องเฟ้อเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
- รู้สึกแน่นอึดอัดในช่องท้อง
- รู้สึกปวดท้องหรือปวดในอุ้งเชิงกราน หรือมีภาวะท้องมาน
- รับประทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็ว
- ท้องโตกว่าปกติ คลำพบก้อนในช่องท้อง
หากมีอาการเหล่านี้แทบทุกวันหรือนานเกิน 2-3 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ปัจจัยเสี่ยงการเกิด "มะเร็งรังไข่"
สาเหตุการเกิดมะเร็งรังไข่พบว่ามาจากหลายปัจจัย
- มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งเต้านม
- สตรีมีประจำเดือนเร็ว หมดประจำเดือนช้า
- สตรีมีบุตรยาก
- ภาวะอ้วน
- ผู้ที่สูบบุหรี่
นอกจากนี้ "มะเร็งรังไข่" ยังพบบ่อยในกลุ่มโรคมะเร็งเต้านมและรังไข่ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม (hereditary breast and ovarian cancer syndrome: HBOC) สัมพันธ์กับยีน BRCA ซึ่งเป็นยีนที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซม DNA หากยีนนี้กลายพันธุ์จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่และมะเร็งเต้านมอย่างมีนัยสำคัญ หากตรวจพบยีนดังกล่าวในผู้ที่เป็นมะเร็งหรือสมาชิกครอบครัว จะมีการเฝ้าระวังที่ถี่ขึ้น หรือวางแผนการผ่าตัดเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งในอนาคตได้
การวินิจฉัย "มะเร็งรังไข่"
พญ.วรางคณา โกละกะ แพทย์เฉพาะทางสาขามะเร็งวิทยานรีเวช สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้อธิบายไว้ว่า ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งรังไข่ที่มีประสิทธิภาพในระดับประชากรทั่วไป หรือแม้แต่การตรวจค่าสารบ่งชี้มะเร็งรังไข่ก็ยังไม่มีความแม่นยำนัก
ทั้งนี้การวินิจฉัยโรคขึ้นกับ อาการที่ผิดปกติร่วมกับผลตรวจภาพถ่ายทางรังสี การตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็งตามข้อบ่งชี้ และการผ่าตัดเพื่อนำก้อนมะเร็งออกและเพื่อกำหนดระยะโรค
ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติใด ควรเข้ารับคำปรึกษาและตรวจเพิ่มเติมจากแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช เพื่อตรวจร่างกาย ตรวจภายในหรือตรวจภาพถ่ายวินิจฉัยอื่นๆเพิ่มเติม
การรักษาหลักในมะเร็งรังไข่
การรักษาหลักในมะเร็งรังไข่ ได้แก่ การให้เคมีบำบัด การให้ยามุ่งเป้า (Targeted therapy) ตามข้อบ่งชี้ หรือ การผ่าตัดและให้ยาเคมีบำบัดในช่องท้อง ซึ่งเป็นความหวังใหม่ในการรักษา เนื่องจากช่วยเพิ่มระยะเวลาโรคสงบ และอัตรารอดชีพได้ดี
ป้องกัน "มะเร็งรังไข่" อย่างไรบ้าง
เนื่องจากมะเร็งรังไข่ในระยะแรก ๆ มักไม่มีอาการ การป้องกันจึงทำได้ยาก ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการตรวจภายใน ประจำปีอย่างสม่ำเสมอ รักษาสุขภาพ ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหากมีอาการผิดปกติให้รีบปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
อ้างอิงข้อมูล : กรมการแพทย์, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, สมาคมมะเร็งนรีเวชไทย
อ่านข่าว : "คริสตัล พาเลซ" ชนะ "ลิเวอร์พูล" คว้าแชมป์คอมมูนิตี้ชิลด์