ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อุปสรรคสำคัญ ทหารไทยลาดตระเวนชายแดน

การเมือง
14:00
306
ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อุปสรรคสำคัญ ทหารไทยลาดตระเวนชายแดน
อ่านให้ฟัง
18:43อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
สถานการณ์ไทย-กัมพูชา หลังทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ครั้งที่ 5 ในรอบเดือน ล่าสุด "มาริษ" รมว.ต่างประเทศ โทรตรงถึง รมว.กต.ญี่ปุ่น ขอใช้กลไกออตตาวาไต่สวนกัมพูชาฐานละเมิดอนุสัญญา

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงตึงเครียดและต้องจับตาอย่างใกล้ชิด หลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดถึง 5 ครั้งในรอบ 1 เดือน ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2568 บริเวณปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายขาด กองทัพบกไทย คาดว่าเป็นชนิด PMN 2 ซึ่งเป็นทุ่นใหม่ที่กัมพูชาลักลอบวาง อันเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ค.ศ. 1997 ที่ห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งกัมพูชาให้สัตยาบันตั้งแต่ปี 2542  

คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันอังคารที่ 12 ส.ค. จนถึงเช้า วันพุธที่ 13 ส.ค.2568 เวลา 07.00 น. เหตุการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา "ไม่มีการปะทะ" กองทัพไทย ยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นใน 11 พื้นที่ใน 7 จังหวัด และพร้อมตอบโต้หากถูกรุกล้ำอธิปไตยทันทีพร้อมย้ำฝ่ายไทย ยังยึดมั่นปฏิบัติตามข้อตกลงของการประชุม GBC แต่ยังพบการ "ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง" และ "สนธิสัญญาออตตาวา" ของกัมพูชา อย่างร้ายแรง

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

เกี่ยวกับ "อนุสัญญาออตตาวา" 

ข้อมูลจาก กระทรวงการต่างประเทศ ระบุ อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention) หรือ อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Convention) ห้ามรัฐภาคีใช้ สะสม ผลิต หรือเคลื่อนย้าย ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล รวมทั้งให้ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลตามที่ระบุในอนุสัญญาฯ 

  • ไทยเข้าเป็นภาคีปี 2542 (ประเทศแรกในภูมิภาคเชียตะวันออกเฉียงใต้) และได้ทำลายทุ่นระเบิดในคลังอาวุธหมดสิ้นเมื่อปี 2546 และทำลายทุ่นระเบิด ส่วนที่เก็บไว้เพื่อการวิจัยและอบรมหมดสิ้นในปี 2562
  • กัมพูชาเข้าเป็นภาคี ปี 2543 และยังคงมีทุ่นระเบิดที่เก็บไว้สำหรับ การวิจัยและอบรมรวมถึงทุ่นระเบิดประเภท PMN-2
  • ในการประชุม General Border Committee (GBC) สมัยวิสามัญ ที่กัวลาลัมเปอร์ ไทยเสนอให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ร่วมกันตามที่นายกรัฐมนตรีของสองประเทศได้เคยตกลงกันไว้แล้ว แต่กัมพูชาปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว (เปิด 13 ข้อตกลง GBC "ไทย-กัมพูชา" หยุดยิง
ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

เหตุทหารไทยบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิดระหว่างลาดตระเวนชายแดนไทย-กัมพูชา หลายคนจึงอาจอยากจะรู้ทำไมการตรวจหาทุ่นระเบิดจึงยาก จุดสำคัญคือทุ่นที่ใช้มักมีคุณสมบัติหลบการตรวจจับ ทำให้เป็นอันตรายร้ายแรง  

ทำความรู้จัก ทุ่นระเบิด PMN 2  

ทุ่นระเบิด PMN‑2 ลักษณะและข้อมูลสำคัญของทุ่นระเบิด PMN-2  เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่พัฒนาโดยสหภาพโซเวียตในช่วงกลางทศวรรษ 1970

  • ทุ่นระเบิด PMN-2 เป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อยู่กับที่ มีชนวนระเบิดในตัว ทำงานด้วยน้ำหนักกด ทำอันตรายฝ่าเท้าผู้เหยียบ ตัวทุ่นทำจากวัสดุพลาสติก การตรวจค้นทำได้ยาก
  • ส่วนเปลือกของทุ่นระเบิด PMN-2 ทำจากพลาสติก ที่ขึ้นรูปด้วยวิธีการฉีด โดยทั่วไป มีสีเขียวใบไม้ แต่บางครั้งอาจพบสีน้ำตาล
  • มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ  ประมาณ 120 มม. และสูง ประมาณ 53 มม.
  • ระเบิดหลัก TG‑40 (TNT/RDX) ประมาณ 100 กรัม น้ำหนักตัวเครื่อง ประมาณ 440 กรัม
  • ด้านบนของทุ่นระเบิด มีแผ่นกดแรงดันรูปตัว X สีดำทำจากยาง
  • PMN-2 มีปริมาณวัตถุระเบิดที่มากผิดปกติ เมื่อเทียบกับทุ่นระเบิดต่อบุคคลหลายชนิด
  • การออกแบบแผ่นกดแรงดัน เป็นรูปตัว X ทำให้ PMN-2 มีความต้านทานต่อวิธีการปราบปรามทุ่นระเบิดแบบดั้งเดิม ที่ใช้แรงดันกะทันหันเพื่อระเบิด ถือได้ว่าเป็นทุ่นระเบิดที่ทนต่อการระเบิด
  • ชนวน/กลไกการทำงาน เป็นชนวน MD‑9 แบบ sensitive-to-stab pressure‑activated มีระบบหน่วงเวลา (arming delay) เมื่อถอดกุญแจนิรภัยประมาณ 60 วินาที (บางแหล่งระบุช่วง 30–300 วินาที)
ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

จุดเด่นทางเทคนิค PMN 2 - ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน

PMN 2 มีระเบิดมากกว่าทุ่นระเบิดบุคคลทั่วไปถึง 2–3 เท่า และถูก ออกแบบให้ทนต่อการทำลายด้วยระเบิดระเบิดเบื้องต้น (blast-resistant) ซึ่งปกติจะใช้ระเบิดบังกาลอร์เพื่อบังคับให้ทุ่นระเบิดระเบิด แต่สำหรับ PMN-2 วิธีนี้ไม่สามารถใช้ได้ จึงต้องอาศัยการเก็บกู้โดยตรงที่เสี่ยงกว่า

PMN-2 ออกแบบให้ทนต่อการทำลายด้วยระเบิดระเบิดเบื้องต้น (blast-resistant), ซึ่งปกติจะใช้ระเบิดบังกาลอร์เพื่อบังคับให้ทุ่นระเบิดระเบิด วิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลกับ PMN‑2 จึงต้องอาศัยการเก็บกู้โดยตรงที่เสี่ยงกว่า

ในส่วนประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน  PMN 2 เป็น อาวุธสังหารบุคคล (anti‑personnel mine) ซึ่งส่วนใหญ่สร้างให้เกิดการพิการ เช่น ตัดขาขาหรือบาดเจ็บร้ายแรง ทำให้ถือว่าโหดร้ายและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งประเทศไทยและกัมพูชา เป็นรัฐภาคีของ อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Convention) ที่ห้ามใช้และสะสมทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN‑2 ไม่เคยเป็นอาวุธในระบบของกองทัพไทย แต่กลับพบว่าอาจถูกลอบวางโดยฝ่ายอื่นในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นการละเมิดพันธกรณีของอนุสัญญาดังกล่าวอย่างชัดเจน

(อ้างอิงข้อมูล : กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล กองพลทหารม้าที่ 1, Jessada Denduangboripant) 

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด 5 ครั้ง ในรอบ 1 เดือน

ตั้งแต่ไทย-กัมพูชา เริ่มมีความขัดแย้ง พบว่าทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดแล้ว 5 ครั้ง ในรอบ 1 เดือน ล่าสุดที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ระหว่างลาดตระเวนในเขตอธิปไตยไทย

  • ครั้งที่ 1 วันที่ 16 ก.ค. ที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี มีทหารบาดเจ็บ 3 นาย  - พลทหาร ธนพัฒน์ หุยวัน (ข้อเท้าซ้ายขาด)
  • ครั้งที่ 2 วันที่ 23 ก.ค. ที่ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี มีทหารบาดเจ็บ 5 นาย - จ่าสิบเอก พิชิตชัย บุญชูหล้า (ขาขวาขาด)
  • ครั้งที่ 3 วันที่ 28 ก.ค. ที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ มีทหารบาดเจ็บ 1 นาย - ร.ต.เกียรติวงศ์ สถาวร (ขาขวาขาด)
  • ครั้งที่ 4 วันที่ 9 ส.ค. ที่ช่องโดนเอาว์-กฤษณา จ.ศรีสะเกษ มีทหารบาดเจ็บ 3 นาย - จ่าสิบเอก ธานี พาหา (ข้อเท้าซ้ายขาด)
  • ครั้งที่ 5 วันที่ 12 ส.ค. ที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ทหารบาดเจ็บ 1 นาย - สิบเอก ธีรพล เพียขันที (ขาซ้ายขาด)

ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 1 - 11 ส.ค.2568 ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ จำนวน 15 ชุดปฏิบัติการ ร่วมกับชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) ตำรวจ สนับสนุนโดยกองกำลังสุรนารี และตำรวจภูธรภาค 3 ได้ดำเนินการสำรวจ พิสูจน์ทราบ เก็บกู้ และทำลายสรรพาวุธระเบิดในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ผลการปฏิบัติสามารถเก็บกู้สรรพาวุธรวม 483 รายการ ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน (บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี)

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

ภาพจาก : กองทัพภาคที่ 2

"ทัพไทย" ยึดสันติวิธี หลังทหารเหยียบระเบิดซ้ำอีก

หลังเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิด ครั้งล่าสุด (12 ส.ค.) สร้างความตึงเครียดให้เกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างไทย - กัมพูชา  พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุว่า เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่า ฝ่ายกัมพูชามุ่งลอบทำร้ายฝ่ายไทย แม้อยู่ในช่วงการตกลงหยุดยิงที่ต้องไม่มีการใช้อาวุธต่อกันในทุกรูปแบบ แต่กัมพูชากลับละเมิดข้อตกลง ด้วยการใช้อาวุธทางทหารแบบซ้อนเร้น นอกจากนี้ ยังไม่เคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ "อนุสัญญาออตตาวา"

โฆษกกองทัพบก ยังระบุว่า กองทัพบกยึดมั่นแนวทางสันติวิธี และไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่หากสถานการณ์บีบบังคับ อาจจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ป้องกันตนเอง แต่ไม่สามารถลงรายละเอียดในเรื่องของวิธีการได้

พร้อมย้ำว่า หลังจากกองทัพ ให้ข้อมูลเรื่องการละเมิดข้อตกลงของฝ่ายกัมพูชาต่อสังคมไปแล้ว ทางกระทรวงการต่างประเทศ คงจะนำข้อมูลไปเสนอในเวทีต่างประเทศ ทุกองค์กร ตามช่องทางที่มีอยู่ ทั้งภาครัฐ และภาคประชาสังคมต่อไป

โฆษกกองทัพบก ย้ำว่า การประท้วงไม่ได้ล่าช้า และสิ่งสำคัญอยู่ทึ่ความน่าเชื่อถือของเนื้อหา พร้อมยืนยันว่า ไทยจะนำปัญหาเรื่องทุ่นระเบิดเสนอผ่านกลไกภวิภาคีทุกการประชุม แม้ว่าจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือ GBC ที่มาเลเซียครั้งล่าสุด ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ได้รับข้อเสนอนี้ก็ตาม

​ขณะที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ฝ่ายไทยมีสิทธิ์ปกป้องและคุ้มครองกำลังพลตามสถานการณ์ ซึ่งการที่กัมพูชาลอบวางระเบิดไว้ ถือว่าผิดเงื่อนไขการหยุดยิง เพราะทุ่นระเบิดถือเป็นอาวุธเช่นกัน ขณะนี้ได้ปรับแผนลาดตระเวน และจะเพิ่มการใช้กล้องวงจรปิด รวมทั้งใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่เปิดเส้นทางและเพิ่มการเฝ้าตรวจระยะไกล

หลังจากนี้จะนำไปสู่ขั้นตอนประท้วงในระดับสากล โดย พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ขอข้อมูลเร่งด่วน เพื่อทำการประท้วงฝ่ายกัมพูชาต่อไป

กต.ออกแถลงประท้วงกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

ด้าน กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ เรื่องการประท้วงต่อเหตุการณ์ครั้งที่ 4 ในการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หลังเกิดเหตุกำลังพลกองร้อยทหารพรานที่ 2610 รวม 7 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องจุบตะโมก จ.สุรินทร์ เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล จนทำให้มีทหารสูญเสียขา 1 นาย โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้ และเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา สะท้อนถึงความไม่จริงใจของกัมพูชา และเป็นการขัดต่อมาตรการหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป GBC เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย

รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ หลักการพื้นฐานของกฎบัตรสหประชาชาติ และเป็นการละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน ไทยจึงขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาฯ โดยทันที

โดยไทยจะประท้วงไปยังกัมพูชา และประธานอนุสัญญาฯ รวมถึงเลขาธิการสหประชาชาติ และจะมีการพิจารณาดำเนินมาตรการอื่นๆ เพื่อตอบโต้กัมพูชาตามที่เห็นเหมาะสมต่อไป

กัมพูชาปฏิเสธเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด

ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหา หลังทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจนได้รับบาดเจ็บ สำนักข่าวเฟรช นิวส์ สื่อกัมพูชา รายงานว่า พล.ท.มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกมาปฏิเสธอย่างเด็ดขาดต่อข้อกล่าวหาใดๆ ที่ขาดหลักฐานและไม่มีมูลของฝ่ายไทยเกี่ยวกับเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดจนได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ระหว่างลาดตระเวนในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม เมื่อวันที่ 12 ส.ค.

โดยยืนยันว่ากัมพูชาไม่เคยและจะไม่ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างเด็ดขาด กัมพูชาเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งได้ให้สัตยาบันในปี 1999 และประชาคมโลกยอมรับความพยายามในการกำจัดทุ่นระเบิดของกัมพูชา พร้อมทั้งระบุว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการสอบสวนอย่างเป็นทางการและโปร่งใสเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว

โดยกัมพูชาเตือนไทยหลายครั้งแล้วว่าพื้นที่ดังกล่าวยังคงมีวัตถุระเบิดตกค้างจากสงครามหลงเหลืออยู่ พร้อมแนะว่าทุกฝ่ายควรหลีกเลี่ยงการเปิดเผยต่อสาธารณะก่อนจะสอบสวนหาความจริงเพื่อให้เกิดความยุติธรรม และเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่อาจทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้น

ด้านกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศกัมพูชา รายงานสถานการณ์ชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยกล่าวถึงกรณีที่ปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ เขียนจดหมายถึงเลขาธิการสหประชาชาติและประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อชี้แจงสถานการณ์การบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชาที่มีความเปราะบางมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน

หนังสือดังกล่าวระบุว่า กองทัพไทยยังคงละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา รวมถึงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ข้อตกลงหยุดยิงเริ่มมีผลบังคับใช้ ทั้งวางลวดหนาม ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงเข้ามาทำลายบ้านเรือนของชาวกัมพูชาหลายครั้ง โดยย้ำว่า การละเมิดทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นในดินแดนของกัมพูชา ซึ่งยึดตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่สยามและฝรั่งเศสเคยจัดทำร่วมกัน

รัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและกองทัพไทยยุติการรุกราน ยึดครอง หรือทำกิจกรรมใดๆ ที่ละเมิดอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนกัมพูชาโดยทันที พร้อมทั้งถอนกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ทั้งหมดไปยังตำแหน่งที่ตั้งในเขตแดนตนเองตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และปฏิบัติตามพันธกรณีทั้งในระดับทวิภาคีและระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัดและไม่มีเงื่อนไข

"มาริษ" ขอใช้กลไกออตตาวา ไต่สวน "กัมพูชา" ละเมิดอนุสัญญา

สถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดสำหรับมาตรการของประเทศไทยในการแสดงความจริงให้นานาชาติรับรู้ความจริง ล่าสุด วันนี้ (13 ส.ค.) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ต่อสายตรง รมว.กต.ญี่ปุ่น ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ขอให้ใช้กลไกออตตาวาไต่สวนกัมพูชากรณีละเมิดอนุสัญญา พร้อมยังได้โทรศัพท์พูดคุยกับ รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ เพื่อขอให้ ใช้กลไกอาเซียนกดดันให้กัมพูชาร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ด้วย 

ส่วนกรณี รมว.กัมพูชา ได้ส่งจดหมายร้องเรียน ต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และเลขาธิการสหประชาชาติ (UN) เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา กล่าวหาฝ่ายไทยละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงทวิภาคี และเงื่อนไขของการหยุดยิงที่ตกลงกันไว้อย่างต่อเนื่องนั้น นายมาริษ ยืนยันว่า ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาไม่มีหลักฐานใดที่แน่ชัด แต่ฝ่ายไทยมีข้อมูลชัดเจน เกี่ยวกับการยั่วยุของกัมพูชา และการวางทุ่นระเบิด และที่สุด UNSC ก็ไม่ได้มีการประชุมเรื่องนี้อีกครั้งแต่อย่างใด

อ่านข่าว : ทีม EOD ลุยอบรมผู้นำชุมชน อส. ชรบ. บ้านกรวด รับมือภัยระเบิด

"ภูมิธรรม" ยันหนุนกองทัพทุกอย่าง จ่อฟ้องถูกกล่าวหา "เข้าข้างเขมร"

“พิชัย” แจงรายงานจัดทำงบฯ 69 ตั้งงบฯ 3.78 ล้านล้านบาท