วันนี้ (13 ส.ค.2568) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เป็นประธาน พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 มาตรา 4 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.พรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้าน ลุกขึ้นอภิปรายวิพากษ์ร่างงบประมาณอย่างเผ็ดร้อน โดยชี้ว่า งบประมาณฉบับนี้ "คิดไม่รอบ คิดไม่ลึก" ขาดความรอบคอบและไม่ตอบโจทย์อนาคตของประเทศไทย
นายณัฐพงษ์ระบุว่า พรรคประชาชนได้แปรญัตติทุกมาตราเพื่อสะท้อนปัญหาการจัดสรรงบประมาณที่ซ้ำซากในทุกกระทรวง โดยเฉพาะงบลงทุนที่ยังเน้นสร้างตึก ตัดถนน ขุดคลอง แทนการลงทุนเพื่อสร้างอนาคต เช่น การปลูกป่าเศรษฐกิจ สร้างซัปพลายเชน กระจายความเจริญสู่เมืองรอง หรือลงทุนด้านพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์หลังคาประชาชน และการเกษตรลดก๊าซเรือนกระจก
รัฐบาลเพิกเฉยต่อ "2 วิกฤต 2 สงคราม" ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจจากภาษีสหรัฐฯ และสงครามการค้า รวมถึงวิกฤตการเมืองจากรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำและกระบวนการนิติสงครามที่ทำให้การบริหารขาดประสิทธิภาพ
นายณัฐพงษ์ชี้ว่า การปรับลดงบประมาณโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญเพียง 8,920 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.24 ของวงเงินทั้งหมด ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา (ร้อยละ 0.44) สะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลในการแปรญัตติให้ตรงจุด งบที่ปรับลดมานั้นไปเพิ่มในรายจ่ายประจำ เช่น เงินเดือนบุคลากรองค์กรอิสระและค่าประกันสุขภาพ ซึ่งควรตั้งเต็มจำนวนตั้งแต่ร่างวาระแรก แทนการแก้ไขในวาระที่ 2 อันแสดงถึงความไม่รอบคอบ พร้อมยังวิจารณ์ว่างบประมาณนี้ทำให้ สส. กลายเป็นเพียง "ตรายาง" ที่ประทับอนุมัติงบของส่วนราชการ โดยรัฐบาลไม่ฟังเสียงจากสภาฯ
นอกจากนี้ นายณัฐพงษ์ยังตั้งข้อสังเกต ถึงความไม่โปร่งใสในกระบวนการจัดทำงบประมาณ โดยยกตัวอย่างเงินนอกงบประมาณ เช่น งบสะสมของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่นอกการตรวจสอบของสภา หรือการซื้อตึก Skyy9 ที่มีราคาสูงเกินจริง
และยังวิจารณ์ว่างบลงทุนขาด "เข็มทิศ" และ "แผนที่" ทำให้มองไม่เห็นภาพรวมของรายได้และรายจ่าย โดยเฉพาะรายได้จากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและกองทัพที่ไม่ส่งคืนคลัง ย้ำว่าหากฝ่ายค้านมีอำนาจบริหาร จะแก้ไขกระบวนการจัดทำงบให้โปร่งใสและตอบโจทย์ประชาชนมากขึ้น
ถ้าผมมีอำนาจในฝ่ายบริหาร ยืนยันว่าจะสามารถแก้ได้เกือบทุกเรื่อง เพื่อให้งบประมาณฟังเสียงสภาฯ มากขึ้น ประชาชนมองเห็นในงบประมาณมากขึ้น มีทิศทางมากขึ้น และเห็นสุขภาพทางกายคลังภาพรวมของประเทศมากยิ่งขึ้น
นายณัฐพงษ์ทิ้งท้ายว่า เศรษฐกิจไทยต้องการเม็ดเงินลงทุนใหม่ที่กระจายโอกาส ไม่ใช่การกระจุกตัวที่กลุ่มสัมปทาน เรียกร้องให้รัฐบาลจัดทำงบประมาณที่สร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน โดยลงทุนในโครงการที่สร้างอนาคต เช่น ป่าเศรษฐกิจ เมืองรอง พลังงานสะอาด และการเกษตรยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยมีทิศทางและอนาคตที่ชัดเจน
อ่านข่าว :
ทบ. แจงปมขอรับบริจาค "ลวดหนามหีบเพลง" เรื่องจำเป็นเร่งด่วน
เศรษฐกิจชะลอตัว เอกชนหวัง กนง. ลดดอกเบี้ย หนุนผู้ประกอบการ