วันนี้ (13 ส.ค.2568) การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เป็นที่จับตามองของทุกภาคส่วน เนื่องจากเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กนง. ก่อนส่งต่อตำแหน่งให้กับนายวิทัย รัตนากร ซึ่งจะเริ่มทำหน้าที่ในการประชุม 2 ครั้งสุดท้ายของปีนี้
การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญยิ่ง เนื่องจากเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ปรับลดอัตราภาษีตอบโต้สินค้าไทยจากร้อยละ 36 เหลือร้อยละ 19 ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะชะลอตัวลง ภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME หวังว่า กนง. จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงินท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีสหรัฐฯ และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง
ตั้งแต่ต้นปี 2568 กนง. ได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 2 ครั้ง รวมร้อยละ 0.50 โดยลดครั้งแรกในเดือน ก.พ. จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.00 และลดครั้งที่ 2 ในเดือน เม.ย. เหลือร้อยละ 1.75 อย่างไรก็ตาม
ในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2568 กนง. มีมติ 6 : 1 คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 1.75 ด้วยเหตุผลว่าเศรษฐกิจครึ่งปีแรกขยายตัวดีกว่าคาด เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ร้อยละ 0.5 ในปี 2568 และการลดดอกเบี้ยที่ผ่านมาถือว่าเหมาะสมแล้ว คณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าควร "เก็บกระสุน" หรือรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน เพื่อใช้ในยามจำเป็น
แต่สถานการณ์ในครึ่งปีหลังเปลี่ยนไป เมื่อเศรษฐกิจโลกและไทยเผชิญความท้าทายจากภาษีสหรัฐฯ การชะลอตัวของการส่งออก และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า กนง. อาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 1.75 ในการประชุมวันนี้ แต่มีโอกาสลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี 2568 เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่คาดว่าจะชะลอตัวในไตรมาส 4 โดยเฉพาะจากผลกระทบของภาษีสหรัฐฯ และการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า ปัจจัยสนับสนุนการลดดอกเบี้ย ได้แก่ การชะลอตัวของภาคส่งออก เงินเฟ้อติดลบร้อยละ 0.57 ในเดือน พ.ค. หนี้ครัวเรือนที่ลดลง และข้อจำกัดของเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้ กนง. ลดดอกเบี้ยทันที เพื่อช่วยลดภาระต้นทุนให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ที่ได้รับผลกระทบหนักจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีสหรัฐฯ และเงินบาทที่แข็งค่ากว่าสกุลเงินในภูมิภาค
นอกจากประเด็นดอกเบี้ย ภาคเอกชนยังกังวลเรื่องเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งนายเกรียงไกรระบุว่าส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยหวังให้ ธปท. ออกมาตรการควบคุมค่าเงินควบคู่ไปกับนโยบายดอกเบี้ย กนง. เองย้ำมาโดยตลอดว่าต้องรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนเตือนว่าหากการออกมาตรการล่าช้าเกินไป อาจไม่ทันการณ์ เนื่องจากการส่งผ่านผลของดอกเบี้ยนโยบายสู่ตลาดต้องใช้เวลาหลายเดือน
การตัดสินใจของ กนง. ในวันนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2568 ท่ามกลางความท้าทายจากภายนอกและภายในประเทศ
อ่านข่าวอื่น :
ทีม EOD ลุยอบรมผู้นำชุมชน อส. ชรบ. บ้านกรวด รับมือภัยระเบิด
ศาลอุทธรณ์ แก้โทษจำคุก 26 ปี "ลุงพล" - ยกฟ้อง "ป้าแต๋น" คดีน้องชมพู่