นอกจากเรื่องที่ดิน เงินบริจาค ประเด็นการดูแลป่วยโรค HIV ของวัดพระบาทน้ำพุ เป็นอีกประเด็น ที่ถูกตั้งคำถามหลายเรื่อง วันนี้ (14 ส.ค.2568) ทีมข่าวไทยพีบีเอส ได้รับอนุญาตจากประธานมูลนิธิธรรมรักษ์ ให้เข้าไปบันทึกภาพ และสำรวจความเป็นอยู่ของผู้ป่วยกว่า 125 คน ภายใต้การเคารพสิทธิของผู้ป่วย
ผู้ช่วยเหลือคนไข้ วัดพระบาทน้ำพุ ระบุว่า ผู้ป่วยทุกคนได้รับยาต้านไวรัสและอาการดีขึ้น แต่กระแสข่าวขณะนี้ ทำให้ผู้ป่วยบางส่วน กังวลว่าจะไม่มีสถานพักฟื้นแห่งนี้ให้พวกเขาได้พึ่งพา
ทุกวันหลังอาหารมื้อเย็น ที่วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ภาพที่เห็นเป็นประจำคือ เจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วย จะจัดยาต้านไวรัส HIV เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ป่วยแต่ละคนอย่างสม่ำเสมอ
ทุกเม็ดคือความหวังในการยืดชีวิต และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ในยุคที่ยังไม่มียาต้าน

ปัจจุบันวัดพระบาทน้ำพุดูแลผู้ป่วยรวมกว่า 125 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นอนติดเตียงจำนวน 65 คน และผู้ป่วยที่แข็งแรงพอจะช่วยเหลือตัวเองได้ประมาณ 60 คน กลุ่มหลังนี้ พักอยู่บ้านพักแยกออกมา สามารถช่วยงานวัดหรือทำกิจกรรมเบา ๆ ได้
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีผู้ป่วยรายใหม่เข้ามาแล้ว 16 คน ส่วนผู้ป่วยเสียชีวิตมี 7 คน วัดจึงทำหน้าที่เหมือนสะพานเชื่อมให้ผู้ป่วย ได้เข้าถึงการรักษาตามนัดหมายของแพทย์
การรับผู้ป่วยเข้ามาใหม่ก็มีเงื่อนไข หากมีเตียงว่างและเอกสารพร้อม วัดก็พร้อมเปิดประตูต้อนรับ แต่กรณีที่ผู้ป่วยยังมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทางวัดไม่สามารถรับไว้ได้
บางคนอยู่ที่นี่มานาน 10-20 ปี จนแข็งแรง อาการดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้กลับบ้าน เพราะญาติไม่มารับ
ท่ามกลางการต่อสู้กับโรคร้าย งบประมาณสนับสนุนหลักที่วัดได้รับมาจากเงินบริจาค หากไม่มีที่แห่งนี้ ผู้ป่วยจำนวนมากอาจไร้ที่พึ่ง ทั้งๆ ที่พวกเขาเพียงแค่ต้องการ ที่กิน ที่อยู่ และที่นอน เพื่อมีโอกาสยืดชีวิตต่อไป
วัดพระบาทน้ำพุ จึงไม่ใช่เพียงสถานที่ทางศาสนา แต่ยังเป็นที่พึ่งสุดท้าย ของผู้ป่วยเอดส์ ที่สังคมส่วนหนึ่งยังไม่อ้าแขนรับ
อดีตอาสาสมัครเผยข้อสงสัยการเข้าถึงยาต้านไวรัส
นายเอกพันธ์ ปิณฑวณิช นักวิชาการด้านสันติวิธี เคยใช้เวลาหลังเรียนจบปริญญาเอก เป็นอาสาสมัครที่วัดพระบาทน้ำพุ เมื่อปี 2546
หน้าที่หลักขณะนั้น คือดูแลผู้ติดเชื้อที่มีประมาณ 100 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย และได้ช่วยหาโควตายาต้านไวรัส พร้อมทั้งขับรถพาผู้ป่วย ไปรับยาต้าน จากโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งขณะนั้นผู้ติดเชื้อยังเข้าไม่ถึงสิทธิ์รักษาจาก สปสช.
ความยากลำบากในการพาผู้ป่วยไปรับยาต้านในระบบโควตา ทำให้กลุ่มอาสาสมัคร ร่วมกันผลักดันให้มีคลินิก หรือศูนย์จ่ายยาต้านไวรัสเอชไอวี ภายในวัดพระบาทน้ำพุ โดยได้รับการสนับสนุนยา จากกองควบคุมโรค เริ่มจ่ายยาให้ผู้ป่วย และผลักดันให้ผู้ป่วยที่สุขภาพดี คืนสู่ชุมชน และประกอบอาชีพได้ แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งกับทางวัดโดยไม่ทราบวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
ต่อมาศูนย์จ่ายยาต้านไวรัสได้ปิดตัวลง เอกพันธ์ และอาสาสมัคร นำผู้ป่วยนับร้อยคน เข้าโครงการของมูลนิธิเพื่อนพึ่งพายามยาก สภากาชาดไทย และต่อมาในปี 2548 ผู้ติดเชื้อได้รับสิทธิเข้าถึงการรักษาในระบบ สปสช.โดยในช่วงเวลานั้น ก็ตั้งคำถามถึงเหตุผลในการปิดโอกาสการเข้าถึงยามาโดยตลอด
เอกพันธ์ ที่เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ย้ำว่ากิจกรรมของวัด อาจเหมาะสมกับบริบทสังคมในยุคก่อน เพราะปัจจุบันผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้แล้ว วัดต้องปรับตัว ทั้งจุดมุ่งหมายดูแลผู้ป่วย รวมถึงความโปร่งใสของการรับบริจาค
อ่านข่าว :
ตร.ชี้การบริหารเงินบริจาค "วัดพระบาทน้ำพุ" ผิดปกติ ขอเวลาตรวจสอบ
ขยายปมที่ดิน 2,000 ไร่วัดพระบาทน้ำพุ กองปราบจ่อเรียกคนถือครองที่ดินชี้แจง
"สุชาติ" จี้ "พศ." ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ปมปัญหาวัดพระบาทน้ำพุ