วันนี้ (19 ส.ค.2568) นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการฟ้องดำเนินคดีเอาผิด "ผู้นำกัมพูชา" ตามกฏหมายประเทศไทย จากสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เป็นการนำตัวผู้กระทำผิด ผู้สั่งการมาดำเนินคดีในประเทศไทย
กรณีที่ไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษในประเทศได้ เนื่องจากมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฏหมายระหว่างประเทศ แต่คนที่ไม่มีเอกสิทธิ์ หากเข้ามาต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไทย โดยอัยการสูงสุดจะเป็นผู้ดำเนินการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 เนื่องจากคดีนี้มีความผิดทางอาญาหลายกระทง ทั้งความมั่นคงนอกราชอาณาจักร การฆ่าคนและมีผู้เสียชีวิต ความผิดต่อทรัพย์สินรวมถึงทรัพย์สินเสียหาย โดยขั้นตอนต่อจากนี้ ตำรวจภูธรภาค 3 จะรวบรวมหลักฐานส่งให้อัยการสูงสุดดำเนินคดี
ส่วนเรื่องความเสียหายทางแพ่ง ทั้งที่เกิดในส่วนราชการและภาคเอกชน กระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลจากประชาชน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีและเรียกร้องค่าเสียหายให้กับประชาชน โดยจะขอให้อัยการเข้ามาช่วยเหลือ
ทั้งนี้ หากสามารถดำเนินคดีเอาผิดทางแพ่งและสืบทรัพย์ของผู้กระทำผิดว่ามีทรัพย์สินอยู่ในประเทศไทย ก็สามารถดำเนินการตามกระบวนการ เพื่อนำทรัพย์มาชดเชยให้ประชาชนที่เสียหายได้
นายปกรณ์ กล่าวอีกว่า กรณีที่ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ระบุว่าจะฟ้องดำเนินคดีกับผู้นำไทยนั้น ขึ้นอยู่กับกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ก้าวล่วงซึ่งกันและกัน
อ่านข่าว
"ภูมิธรรม" เผยมติ สมช.เดินหน้าฟ้องแพ่ง-อาญา "ผู้นำกัมพูชา"
"พล.อ.ณัฐพล" ระบุจ่อสร้างรั้วกั้นเขมร แต่ตอนนี้ต้องเตรียมพร้อมรบก่อน
ครม.อนุมัติความร่วมมือ "ศรีลังกา" นำเข้าแรงงานทดแทนกัมพูชา