วันนี้ (19 ส.ค.2568) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี เพื่อรับฟังปัญหาจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่าประเด็นสำคัญคือการเยียวยาที่ล่าช้าและไม่ทั่วถึง ประชาชนในพื้นที่ เช่น อ.ศรีวิเชียร สูญเสียรายได้วันละ 1,000 บาทตั้งแต่เหตุปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 เนื่องจากไม่สามารถทำการเกษตรหรือประกอบอาชีพได้ตามปกติ บางครัวเรือนบ้านเสียหายทั้งหลัง แต่การเยียวยายังติดเงื่อนไขที่ยุ่งยาก
นายณัฐพงษ์ชี้ว่ารัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอ แต่กระจายอยู่ในหลายหน่วยงาน ทำให้การเบิกจ่ายไม่มีประสิทธิภาพ เขาคาดว่าหากเยียวยาครัวเรือนละ 1,000 บาท จะใช้งบราว 300 ล้านบาท พร้อมเรียกร้องให้ปรับปรุงระเบียบเพื่อเร่งช่วยเหลือประชาชน
นอกจากนี้ นายณัฐพงษ์ยังพบปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์และสวัสดิการสำหรับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ซึ่งทำหน้าที่ดูแลทรัพย์สินและความปลอดภัยในพื้นที่ รวมถึงปัญหาสุขภาพจิตของบุคลากรสาธารณสุข โดย ผอ.รพ.พนมดงรัก จ.ศรีสะเกษ รายงานว่าเจ้าหน้าที่เผชิญภาวะเครียดหนักจนไม่สามารถปฏิบัติงานได้เต็มที่ อีกทั้งในพื้นที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ยังขาดแคลนบังเกอร์หลบภัยเมื่อเทียบกับจ.สุรินทร์ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น เขาจะนำประเด็นเหล่านี้ตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีในวันที่ 21 ส.ค.2568 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ด้าน นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กล่าวว่าประชาชนในพื้นที่กังวลเรื่องหนี้สินทั้งในและนอกระบบ เนื่องจากสถานการณ์ชายแดนยังไม่ปกติ ทำให้ขาดรายได้ เสนอให้รัฐบาลหารือเรื่องพักหนี้และลดดอกเบี้ย รวมถึงเพิ่มความมั่นใจให้ประชาชนด้วยการเยียวยาที่เข้าถึงได้จริง เพราะหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงซ้ำ ประชาชนอาจลังเลที่จะอพยพ เนื่องจากต้องปกป้องทรัพย์สินและสัตว์เลี้ยง ซึ่งอาจนำไปสู่ความสูญเสียรุนแรงกว่าเดิม
คณะกรรมาธิการจะประชุมในวันที่ 21 ส.ค. เพื่อหารือกับตัวแทนรัฐบาล เช่น กระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ปัญหานี้
ในประเด็นการฟ้องร้องต่อกัมพูชา นายณัฐพงษ์ย้ำว่า รัฐบาลต้องใช้ทุกช่องทางทั้งในระบบยุติธรรมไทยและระหว่างประเทศ รวมถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อกดดันกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับ ฮุน เซน ซึ่งอาจมีส่วนในความขัดแย้ง
นายรังสิมันต์เสริมว่า แม้ไทยไม่ได้เป็นภาคี ICC แต่สามารถยื่นเรื่องได้ โดยยกตัวอย่างกรณีคอลเซนเตอร์ที่เชื่อมโยงผู้มีอำนาจในกัมพูชา ซึ่งหลายประเทศได้รับผลกระทบ เขามองว่าการฟ้อง ICC จะช่วยสร้างเสถียรภาพและป้องกันความขัดแย้งในอนาคต แต่ไทยมักหลีกเลี่ยงกลไกนี้ เนื่องจากไม่เข้าใจกระบวนการและมีประสบการณ์ไม่ดีกับศาลระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การใช้กลไกทวิภาคีเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะกัมพูชาไม่แสดงความจริงใจในการเจรจา
นายณัฐพงษ์ยังเรียกร้องให้รัฐบาลสื่อสารข้อเท็จจริงในเวทีนานาชาติอย่างรวดเร็ว เพื่อต่อสู้กับข่าวปลอมที่กัมพูชานำเสนอ เช่น การปลุกปั่นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ช่องอานม้า ซึ่งสะท้อนวุฒิภาวะที่ขาดความรับผิดชอบ แนะให้เชิญผู้สังเกตการณ์จากนานาชาติลงพื้นที่เพื่อยืนยันข้อเท็จจริง และฝ่ายค้านพร้อมสนับสนุนรัฐบาลในกลไกภายในและระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและสร้างความมั่นใจในพื้นที่ชายแดน
อ่านข่าวอื่น :
หมอยืนยัน "เอดส์" รู้เร็วรักษาได้ ไทยมียาต้าน HIV ประสิทธิภาพสูง
ส่ง 5 ทหารบาดเจ็บเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา รักษาต่อ รพ.พระมงกุฎฯ